ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุคนี้ หลายคนไม่ได้ออกกำลังกายแค่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่เราได้คอนเทนต์เป็นส่วนเสริม ออกกำลังกายหนักๆ เหงื่อซกๆ มันก็ดี และลองจินตนาการถึงภาพเราในชุดออกกำลังสีไม่ฉูดฉาด กำลังยืดเหยียดอยู่บนเครื่องรีฟอร์มเมอร์พิลาทิส ในสตูโอเก๋สุดมินิมอล มือถือแก้วมัทฉะสีเขียวสดใส
นี่คือการมาเจอกันตรงกลาง ของคำว่า สุขภาพและสุนทรียศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่แค่ภาพคอนเทนต์สวยงามเท่านั้น แต่กิจกรรม ‘Matcha-Lates’ หรือพิลาทิสพลางจิบมัทฉะ นี้ รวมกิจกรรมฝึกการเคลื่อนไหว และการเติมพลังงานอันสงบจากเครื่องดื่มมาไว้เป็นหนึ่งเดียว
แต่อะไรล่ะทำให้กิจกรรม Matcha-Lates ป๊อปจนคลับสุขภาพหลายแห่งต้องทำตาม สำนักข่าว TODAY ขอพาไปถอดรหัสเบื้องหลัง เล่าประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประโยชน์ต่อกายใจ และเหตุผลทางจิตวิทยา ที่ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงสุดๆ
เติบโตจากเครื่องดื่มอายุ 900 ปี และการออกกำลังกายแบบบำบัด
มัทฉะที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองทุกวันนี้ แท้จริงแล้วมีรากฐานมาจากพิธีชงชาแบบเซนในญี่ปุ่น ที่สืบทอดกันมากว่า 900 ปี ความพิเศษของมัทฉะที่แตกต่างจากชาเขียวธรรมดา คือ การนำใบชามาบดเป็นผง ทำให้ผู้ดื่มได้รับสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวทั่วไปหลายเท่า นอกจากนั้น กระบวนการบดนี่แหละที่ทำให้หลายคนติดใจมัทฉะนักหนา เพราะมันคือ ‘พิธีกรรม’ ช่วยทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้นนั่นเอง
ในทางกลับกัน พิลาทิสก็เป็นศาสตร์การออกกำลังกายที่เพิ่งมีมาได้ไม่นาน เมื่อศตวรรษ 1900s คิดค้นโดย โจเซฟ พิลาทิส ที่อยากสร้างกิจกรรมที่เน้นการควบคุมแกนกลางลำตัว และฝึกความแม่นยำในการเคลื่อนไหว เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของนักเต้นและนักกีฬา เขาเคยเรียกศาสตร์นี้ว่า Contrology ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นพิลาทิสในภายหลัง และได้รับความนิยมอย่างยิ่งเมื่อเครื่อง ‘รีฟอร์มเมอร์’ ถูกคิดค้นขึ้นมา ทำให้การเล่นพิลาทิสกับเครื่องดูผ่อนคลาย และเรียบหรูในเวลาเดียวกัน
เมื่อเรามีศาสตร์การออกกำลังสุดฮิต และเครื่องดื่มที่มาแรงสุดๆ แบบนี้ ทำไมเราจะไม่จับมาเข้าคู่กันล่ะว่าไหม
Matcha-lates ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือไลฟ์สไตล์ของสาวซอฟต์ใส ที่ใส่ใจกายใจเป็นที่สุด
ย้อนไปช่วงโควิด ช่วงที่คนอยู่บ้านเยอะ และการออกกำลังใดๆ ก็เกิดขึ้นที่บ้านเช่นกัน และจะมีการออกกำลังไหน ที่ฮิตไปกว่าการออกกำลังที่เล่นคนเดียวกับเครื่องได้อีก หนึ่งในนั้น คือ พิลาทิส เช่นเดียวกับมัทฉะ ซึ่งเป็นชาว Work from home หลายคนโปรดปราน และใช้พิธีชงชาอันเบาสบายเป็นจุดเริ่มต้นของวัน
แต่ถ้าถามว่าอะไร (หรือใคร) ทำให้สองสิ่งนี้มาจับคู่กันและฮิตขึ้นมาได้ เราอาจต้องยกเครดิตให้กับ Alo แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายระดับโลก ที่จัดคลาสพิลาทิสพร้อมจิบมัทฉะเป็นที่แรก และมันกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่เล่นพิลาทิสหันมาสนใจมัทฉะ คนที่รักมัทฉะก็หันมาเล่นพิลาทิส คนที่ชอบทั้งคู่ก็ทำตามกันยกใหญ่
แต่ทำไมเทรนด์นี้ถึงป๊อปได้สุดๆ จนแพร่กระจายไปทั่วโลกกันล่ะ เราอาจสรุปเหตุผลออกมาได้ว่า
- มันดีต่อกายและใจ ทำให้ตื่นตัวแต่ไม่ใจสั่น กล่าวคือ แม้ในมัทฉะจะมีคาเฟอีนเหมือนกาแฟ แต่มันก็มีกรดอะมิโน L-Theanine ที่จะช่วยกล่อมให้ผลของคาเฟอีนไม่พุ่งแรงเกินไป ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวอย่างสงบ จึงเหมาะมากที่จะจิบไปด้วย ทำพิลาทิสไปด้วย
- มัทฉะยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ระหว่างออกกำลังกายแบบเข้มข้นปานกลางได้ ซึ่งการฝึกพิลาทิสก็เข้าข่ายนี้พอดี
- กิจกรรมนี้สะท้อนความเป็น Soft-girl luxury หรือชีวิตอันรุ่มรวยของสาวซอฟต์ใส ผู้ให้ความสำคัญกับการดูแลร่างกายและจิตใจ ให้แข็งแรงเป็นอันดับต้นๆ ของชีวิต ยิ่งมีโซเชียลมีเดียมาเป็นแรงกระตุ้น เราทำคอนเทนต์กันได้แบบฉ่ำๆ เทรนด์นี้ก็กระจายความนิยมไปทั่วโลก คลับหลายคนหันมาจัดคลาสพิลาทิสพร้อมจิบมัทฉะแบบนี้กันใหญ่ รวมถึงในประเทศไทยก็เช่นกัน
- ถึงอย่างนั้น หลายคนก็มองว่า Matcha-Lates มีข้อเสียอยู่ที่มีราคาแพงเกินไป ทั้งคลาสพิลาทิสที่เล่นกับเครื่องรีฟอร์มเมอร์ก็ราคาสูงอยู่แล้ว ยิ่งมีดื่มมัทฉะเกรดดีที่ราคาสูงลิ่วไปอีก ราคาที่จะเข้าถึงก็ยิ่งคูณสอง
อย่างไรก็ดี ภายใต้ภาพลักษณ์ของการเป็นกิจกรรมของ Soft-Girl Luxury สำหรับหลายคน การทำ Matcha-Lates ก็คือจุดพักกายและใจ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่กลับมาตั้งสติกับตัวเองได้ในโลกแห่งความวุ่นวาย
และจริงๆ มันก็เป็น Soft Clubbing สำหรับคนอยากปาร์ตี้แต่ไม่อยากน็อกอย่างหนึ่งอีกด้วย Soft Clubbing นั่นจึงไม่แปลกเลยที่ใครหลายคนจะรักกิจกรรมนี้อย่างสุดหัวใจ
อ้างอิง
betterme.world
betterhealth.vic.gov.au










