“ปัจจัยการดูแลส่วนบุคคลสำคัญมาก ทำให้สุขภาพดี ‘แต่ไม่พอ’ มีเรื่องสิ่งแวดล้อม กฎหมาย นโยบาย ที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ” Longevity หรือ การมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ กลับมาเป็นที่พูดถึง บนข้อสงสัยสำคัญที่ว่า ตกลงแล้ว นี่เป็นเรื่อง ‘ปัจเจก’ หรือ ‘สาธารณะ’ กันแน่
ทว่า ความเห็นของ รศ.ดร.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล ที่พูดคุยกับสำนักข่าว TODAY ผ่านรายการ HEADLINE ตลอด 40 นาที เลือกฝั่งชัดเจน ในทางว่า Longevity ควรเป็น ‘เรื่องสาธารณะ’ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อรัฐเองในระยะยาว เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น
[ ไม่ให้เป็นภาระใคร ก็ต้องยกให้ ‘ใครคนหนึ่ง’ ทำแทน ]
“เป็นเรื่องดีที่สังคมมีจินตนาการร่วมกัน” อ.บวรศม เริ่มต้นด้วยการชี้แง่ดี ของการถกเถียงในประเด็น Longevity เพราะนี่อาจตามมา ด้วยการรับมือสังคมผู้สูงอายุของไทยในอนาคต ที่ล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘สุขภาพ’
สำหรับ Longevity เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศมา ก่อนที่จะถูกปรับเข้ากับบริบทไทย ที่ต้องการให้คนไทย ‘อายุยืน แบบสุขภาพดี ไม่เป็นภาระใคร’ แต่ความน่าเสียดาย คือ ‘นโยบายสาธารณะ’ ที่จะส่งเสริมให้ Longevity เป็นเรื่องของทุกคน ถูกยกมาอ้างถึงเพียงเล็กน้อย
อ.บวรศม จึงย้อนกลับไปให้เครดิต สราวุธ เฮ้งสวัส หรือที่รู้จักในนาม เอ๋ นิ้วกลม เพราะเปิดประเด็น ภายใต้คำถามว่า ‘เอ๊ะ ทำยังไงถึงไม่เป็นภาระของแต่ละคน?’
“ถ้าไม่ให้เป็นภาระ สังคมก็ต้องยกให้ใครบางคน ทำหน้าที่นี้ร่วมกัน โดยหลักการก็คือ ‘รัฐ’ นั่นเอง รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะ ซึ่งใช้ทรัพยากรส่วนรวม ทำให้เรื่องนี้ไม่เป็นภาระแต่ละคนจนมากเกินไป”
[ Longevity คือ การรับผิดชอบต่อตนเอง? ]
“หลายคนนึกถึง Longevity อายุยืน จินตนาการถึงคนที่ต้องเข้าฟิตเนส มีไลฟ์โค้ช มีเฮลธ์โค้ช ซึ่งไม่ผิด” เทรนด์ Longevity ตกลงคืออะไรกันแน่? อ.บวรศม กล่าวว่า แก่นแท้ของสิ่งนี้ อยู่ที่การรับผิดชอบต่อการกิน นอน ออกกำลังกาย ซึ่งเป็นชุดความรู้เก่า ที่ทุกคนต่างเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก
ทว่า ปัญหาคือ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้จริงในสังคมไทย ซึ่งไม่ได้มีแค่ ‘ทุนทรัพย์’ ที่เป็นปัจจัยของเรื่องนี้ “ต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ไม่ได้มีปัญหาที่จะหาอุปกรณ์มาออกกำลังกาย หาอาหารดีๆ กิน ไม่มีปัญหาโรคภัย แต่เราเดินเเข้าไปในตลาด มั่นใจแค่ไหนว่าผลไม้ที่อยากได้ ‘ปลอดสารพิษ’”
นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ที่ อ.บวรศม เล่าให้เห็นภาพ อย่างในต่างประเทศ รับมือความกังวลนี้ ด้วยการจัดการอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบ มีมาตรฐานอาหาร
หรือ คนเมืองที่วิ่งตามทางเดินเลียบแม่น้ำ ซึ่งเป็นภาพหายากในไทย เพราะความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และมลพิษ แถมการติดตามพื้นที่ที่ผู้คนนิยมวิ่งผ่านแอปฯ ก็หนาแน่นเป็นกระจุก ด้วยมีพื้นสาธารณะที่จำกัด เหล่านี้จึงย้อนกลับมาว่า ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ประชาชนจะควบคุมได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้ Longevity เกิดขึ้นได้จริง

[ ความสำคัญของ ‘สาธารณสุข’ ]
“เรามีชื่อกระทรวงที่เพราะมาก ชื่อ ‘สาธารณสุข’ ที่ไม่ได้แปลว่า สุขภาพสาธารณะทื่อๆ แต่เป็นสุขของสาธารณะ สุขภาวะที่ใหญ่กว่าสุขภาพแบบแคบๆ”
ในหมวกการแพทย์ อ.บวรศม กล่าวว่า การที่คนไข้เข้าหาแพทย์ แล้วได้รับคำแนะนำให้ดูแลสุขภาพตามขั้นตอน ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดทว่า ในหมวกสาธารณสุข ย่อมต้องมองกว้างขึ้น
อ.บวรศม กล่าวว่า ประชาชนจำนวนมาก มีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถทำตามคำแนะนำของแพทย์ได้ อย่าง พนักงานร้านสะดวกซื้อ ที่เลิกงานตอนเที่ยงคืน ให้เขาออกกำลังกายที่ไหน
“ถ้าผมเป็นคนเชียงราย ผมอาจจะตายจากสารพิษในแม่น้ำกกก่อน ก่อนจะมาพูดถึง Longevity แล้วเราทำอะไรบ้างในเชิงสาธารณะ เชิงนโยบายสาธารณสุข ที่ไม่ใช่ไปบอกว่าชาวบ้านแต่ละคนต้องจัดการชีวิตยังไง”
ดังนั้น ‘การเพิ่มแรงจูงใจ’ ให้คนดูแล และให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคู่ไปกับการ ‘ลดความเสี่ยง’ จึงเป็นหน้าที่สำคัญทางสาธารณสุข ซึ่งมีกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบหลักในฟากฝั่งรัฐ
[เข้าถึงการรักษาโรค ทั่วถึง-ถ้วนหน้า ภายใต้คุณภาพที่ดี?]
เล่าย้อนไปราว 40 ปี อ.บวรศม กล่าวว่า ปัญหาของคนไทย คือ โรคติดเชื้อ ที่ทำให้เสียชีวิตจำนวนมาก จนนำมาสู่การฉีดวัคซีน เพิ่มการเข้าถึงเครื่องดื่มเกลือแร่ รวมไปถึงการเสียชีวิตระหว่างคลอดของผู้หญิง ที่อัตราเหล่านี้ลดลง
“ต้องชื่นชมว่า เราจัดบริการสาธารณสุข บริการสุขภาพได้ดี มา 40-50 ปี เหมือนเราเรียนจบวิชานี้แล้ว เหลือโรคโบราณไม่กี่เรื่อง ในบางพื้นที่ที่ยังมีปัญหาอยู่”
‘โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 4 โรค’ คือ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง-หัวใจ ปอดอุดกั้นเรื้อรังจากการสูบบุหรี่ และมะเร็ง จึงเป็นบทเรียนลำดับถัดมาของไทย และทั่วโลก ตามที่องค์การสหประชาชาติระบุไว้
อ.บวรศม มองว่า ไทยมาถูกทางแล้ว แต่ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ยกตัวอย่าง ‘นโยบายมะเร็งรักษาทุกที’ ที่ถูกขยายไปถึงโรคอื่นๆ ตามมาด้วยคำถามที่สำคัญกว่านั้น “เรารักษาได้ดีรึเปล่า ควบคุมโรคได้ดีขึ้นไหม สามารถตรวจเจอคนที่เป็นมะเร็งระยะแรกๆ ไม มีอะไรให้ทำอีกเยอะเลย ไม่ใช่เป็นระยะท้ายๆ แล้วไปรักษาทุกที สุดท้ายไปกองที่ รพ.ใหญ่” อ.บวรศม ตั้งคำถาม
อ.บวรศม กล่าวว่า การเจอผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มต้น ผู้ติดกับระบบบริการสุขภาพ ที่กระจายสู่สถานพยาบาลปฐมภูมิ เพื่อค้นหาให้เจอตั้งแต่เนิ่นๆ
“ทั้งหมดนี้พันกันหมด ในการที่จะทำให้เกิดคนอายุยาวขึ้น ไม่เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ที่หลายคนเรียก Life span ดูแลระหว่างไม่เกิดโรค ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย ให้ Healthspan ยาวขึ้น สองอย่างนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ นโยบายการเข้าถึง ตอนที่เป็นโรคแล้ว”
ถึงตอนนี้ อ.บวรศม ถึงได้เน้นย้ำว่า สิ่งที่สาธารสุขไทยกำลังทำจึงยังแคบอยู่มาก “สุดท้ายถ้าหด เหลือแค่แต่ละคนต้องจัดการตัวเอง จะนักคาร์บ เลือกกิน ตรวจแฟนซี ที่คนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของประเทศเข้าถึงได้ คงเป็นเรื่องน่าเสียดาย”

[ ทำไมความสำเร็จของ Longevity ไม่ได้ผูกติดกับ สธ.? ]
การเพิ่มโอกาสของ Longevity ไม่ใช่หน้าที่ที่จำกัดเพียงแค่กระทรวงสาธารสุขเท่านั้น แต่เป็นหน่วยงานรัฐโดยรอบ ที่เป็นเช่นนี้ อ.บวรศม ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่างที่คนทั่วไปรู้ดีว่า ‘นมแม่’ มีประโยชน์ต่อลูกในหลายด้าน และสร้างความสัมพันธ์แม่ลูก สธ. ก็รณรงค์มาอย่างดี
ทว่า อาจทำไม่ได้ เพราะกฎหมายแรงงานไม่อนุญาตให้ลายาว และบางที่ทำงานก็ไม่ได้มีสถานที่จัดเตรียมให้แม่หลังคลอดไว้ เหตุการณ์เช่นนี้ วกไปตอบคำถามที่ว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานด้านสุขภาพเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เรียกว่า ‘School health’ เป็นสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์เข้าไปมีส่วนน้อยมาก จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากโรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการ ต้องเห็นความสำคัญ เป็นต้น เช่นเดียวกับ มลพิษทางอากาศ ที่เมื่อฝุ่นควันไร้พรมแดน กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม ก็ต้องเป็นหนึ่งหน่วยงานจัดการ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ปัญหาสุขภาพระดับชาติ หรือ สร้างผลกระทบวงกว้าง ย่อมต้องอาศัยอำนาจรัฐในการจัดการระยะยาว
“ปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง ทำให้เกิดโรคที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีปัจจัยพวกนี้ยังไงโรคก็ไม่เกิด แต่ต่อให้มีก็ไม่จำเป็นต้องเกิดโรคเสมอไป เราสามารถดูแลอะไรได้บ้าง มีหลายอย่างที่สำคัญ แต่ไม่พอเพียงที่จะทำให้เกิดเรื่อง” อ.บวรศม กล่าว
[ เลิกมอง ‘สุขภาพ’ เป็นภาระ ]
อ.บวรศม ชวนมองมุมกลับว่า การที่มีการอธิบายซึ่งเอื้อต่อการสร้างห่วงโซ่คุณค่าทางธุรกิจ ที่ส่งเสริมสุขภาพในทางที่ดี นั่นหมายถึง ‘สุขภาพ’ ไม่ได้ถูกมองเป็นภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ อย่างที่แล้วมา แต่มองเป็นการลงทุนของประเทศ ที่สร้างการจ้างงานแบบใหม่ๆ ยกตัวอย่างการที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น คนทำงานน้อยลง เก็บภาษีได้น้อยลง แต่ในทางกลับกัน คือ โอกาสสร้างงานแบบใหม่
“ชีวิตมนุษย์หนึ่งคน งานที่สำคัญที่สุด คือการดูแลมนุษย์ซึ่งกันและกันรึเปล่า เราถึงไปลงทุนทางเทคโนโลยี เพื่อไม่ต้องมานั่งทำงานซ้ำซาก เหนื่อย ใช้แรงงานเยอะ”
อย่างไรก็ดี หากงานดูแลผู้สูงอายุ ถูกให้คุณค่าน้อยทางเศรษฐกิจ จนครอบครัวต้องกลายเป็น ‘อาสาสมัคร’ ตามวัฒนธรรมเดิม อ.บวรศม มองว่าจะเป็นเรื่องเสียโอกาส ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ไทยกำลังตามหา
“ต้องเลิกมองเรื่องสุขภาพเป็นภาระ จะเป็นภาระปัจเจก หรือภาระสังคม คงไม่ใช้คำถามที่ถูก จริงๆ เป็นโอกาสในการทำงานร่วมกัน ทั้งแรงจูงใจแต่ละคน และแรงจูงใจผ่านรัฐ”
ในฐานะแพทย์ อ.บวรศม เล่าว่า ระดับนานาชาติห่วงที่สุด คือ ‘ความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพ’ ด้วยมีปัจจัยมากมายที่ทำให้สุขภาพคนต่างกัน “ยิ่งพูดถึง Longevity ที่เพิ่มให้คนกลุ่มหนึ่งสุขภาพดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยที่ต้องลงส่วนตัว เท่ากับว่ามีคนจำนวนมากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่อยากให้เกิดภาพนั้น” อ.บวรศม กล่าวทิ้งท้าย










