ปัจจุบันการใช้ชีวิตที่เร่งรีบและความกดดันจากภาระหน้าที่ ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของคนไทย จนนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “ภัยคุกคามสุขภาวะ” ซึ่งเป็นปัญหาที่เชื่อมโยงและซับซ้อน ความเครียดสะสมจากการดำเนินชีวิตที่ขาดสมดุล ได้กระตุ้นให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพที่ไม่เหมาะสมตามมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกบริโภคอาหารที่ขาดประโยชน์ การละเลยการพักผ่อน การหันไปพึ่งพาสารเสพติด เช่น บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า
หรือแม้แต่การเกิดปัญหาทางสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้า ภัยคุกคามเหล่านี้จึงมิใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นวาระเร่งด่วนของชาติที่ต้องการการตอบสนองและการแก้ไขอย่างจริงจังในระดับนโยบาย
[สสส. ผนึกกำลังเปิดเวทีสัมมนา SEAPAC 2025]

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตระหนักถึงความท้าทายนี้ จึงได้จัดเวทีสัมมนา กิจกรรมทางกายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2025 (South-East Asia Physical Activity Conference 2025: SEAPAC 2025) ในหัวข้อ “การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ” เพื่อผนึกกำลังนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน มานำเสนอข้อมูลสำคัญ แนวทาง และความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี
- วาระควบคุมยาสูบ: ภาระ 2 แสนล้าน และวิกฤตบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ว่าการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรค NCDs และสร้างภาระเศรษฐกิจมหาศาล
- ภาระเศรษฐกิจมหาศาล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมจากการสูบบุหรี่สูงถึง 77,000 ล้านบาทต่อปี และมูลค่าความสูญเสียจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร สูงถึง 131,000 ล้านบาทต่อปี
- ภาษี คือนโยบายที่ลดการบริโภคยาสูบได้มากที่สุด (57.5%)
- วิกฤตบุหรี่ไฟฟ้า ปัจจุบันอัตราการสูบในเยาวชนไทยอายุ 13–15 ปี เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า โดยปัจจุบันอยู่ที่ 22% และสนับสนุนมาตรการ “Total Ban” ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมการระบาดในเยาวชน
- วาระอาหาร: สร้างทางเลือกที่ดีและง่าย (Healthier Choice, Easier Choice)

อาจารย์จันทนา อึ้งทูศักดิ์ ประธานกรรมการกำกับทิศทางแผนอาหารเพื่อสุขภาวะและกรรมการบริหารแผน คณะที่ 3 สสส. นำเสนอความสำเร็จในการปรับปรุง ห่วงโซ่อุปทานอาหาร (Food Supply Chain)
- ความสำเร็จด้านการผลิต แบนสารเคมีอันตราย (พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส) โดยทำให้สารเคมีลดลง 42% และการลงทุนมีผลตอบแทนทางสังคม (SROI) สูงถึง 41 เท่า (กรณีคลอร์ไพริฟอส)
- การกระจายและการเข้าถึง โดยการผลักดัน อาหารปลอดภัยในโรงพยาบาล โรงเรียน และส่งเสริม ตลาดเขียว (Green Market) เพื่อเชื่อมโยง “Farm to Table”
- การควบคุมการบริโภค โดยใช้ภาษีเครื่องดื่มน้ำตาลแบบขั้นบันได และการ แบนไขมันทรานส์
- วาระสุขภาพจิต: บูรณาการทุกระบบด้วยนวัตกรรม “งบประมาณ 0 บาท”

ดร.นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ รองผู้อำนวยการกองบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ชี้ว่าปัญหาสุขภาพจิตมีผู้ป่วยแฝงอีกกว่า 6 ล้านคน และเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่แนวคิด “Co-Government, Co-Society”
- การยกระดับนโยบาย
รัฐบาลอนุมัติให้เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนแห่งสุขภาพใจ (Mind Month)
- นวัตกรรม “งบฯ 0 บาท”
- Gifted Listener นักรับฟังความพิเศษ : นำผู้พิการทางสายตามาฝึกเป็นนักรับฟังให้คำปรึกษา
- Home Plus Hospice : ระบบช่วยเหลือผู้ที่แสดงสัญญาณเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนออนไลน์ ช่วยชีวิตคนไปแล้วกว่า 1,100 คน และประหยัดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านบาท
- วาระกิจกรรมทางกาย (PA) สู่ “Active Thailand” ผ่านสมัชชาสุขภาพ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ คือกลไกหลักในการขับเคลื่อนวาระ กิจกรรมทางกาย (PA) สู่ 4 มติหลัก โดยเน้นว่า PA ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย และต้องสร้าง “พื้นที่สุขภาพดี” ผ่านการทำงานร่วมกันของกระทรวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น
[เชื่อมร้อยสู่ “วิถีชีวิตสุขภาวะ” ที่ยั่งยืน]

นิรมล ราศี ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวสรุปปิดท้าย เน้นย้ำถึงแก่นแท้ของการสร้างเสริมสุขภาพในยุคปัจจุบัน นั่นคือการเปลี่ยนจากการทำงานแบบแยกส่วน สู่การเชื่อมร้อยนโยบายและปัจจัยกำหนดสุขภาพ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
- หัวใจคือการบูรณาการ เพราะการทำงานด้านสุขภาพไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยนโยบายใดนโยบายหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการผสานปัจจัยกำหนดสุขภาพ ทั้งสามประเด็นหลักที่นำเสนอมา คือ การควบคุมยาสูบ อาหารเพื่อสุขภาพ และสุขภาพจิต เข้าเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะสุขภาพจิตถูกระบุว่าเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญที่สุดในการทำให้คนมีสุขภาวะที่ดีโดยองค์รวม

- เป้าหมายสูงสุด คือ “นโยบายชีวิต” (Life Policy) เพราะเป้าหมายของการทำงานคือการสร้าง “วิถีชีวิตสุขภาวะ” ให้เกิดขึ้นจริงในสังคม โดย สสส. และภาคีเครือข่ายมุ่งเน้นการสร้างองค์ประกอบหลัก 3 ด้าน ได้แก่
1.Active People: การสนับสนุนให้ประชาชนมีความตื่นตัวและสามารถออกแบบวิถีชีวิตของตนเอง ให้มีความกระฉับกระเฉงและมีทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
2.Active Environment: การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการมีสุขภาพดี เช่น การมีพื้นที่ให้คนสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างปลอดภัย และการสร้างพื้นที่ที่ปลอดจากสิ่งกระตุ้นที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
3.Active Society: การทำให้สังคมโดยรวมมีความตื่นรู้และร่วมกันรับผิดชอบต่อสุขภาพส่วนรวม โดยส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระดับวัฒนธรรม เช่น การสั่งเครื่องดื่ม “หวานน้อย” จนกลายเป็นเรื่องปกติ

การบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยการรวมตัวกันของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดัน “นโยบายชีวิต” ให้เป็นจริงในระดับประเทศและระดับภูมิภาค
ซึ่งการสนับสนุนจากงานวิชาการที่เข้มแข็งจึงถือเป็นกลไกสำคัญในการตอกย้ำความจำเป็นของการมองภาพรวมสุขภาพในทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การมีวิถีชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนของคนไทยทุกคน










