“ไม่เข้าใจว่า ทำไมการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่มีรัฐบาล มีพรรคการเมืองบางพรรคเข้ามาอยู่ตรงนี้ เป็นเรื่องที่มันอันตรายที่สุด ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ คิดว่าคนไทยทั้งประเทศก็คงมองออก ไม่ว่าการไปพูดจาในโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อทำลายล้างระบบของเราทั้งหมด เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ผมคิดว่าคนไทยคงไม่ยอมหรอกครับ เพราะฉะนั้นจะมาโทษว่าเจ้าหน้าที่… เพราะท่านเป็นผู้ทำเอง”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ชี้แจงช่วงหนึ่งของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลเป็นวันที่ 4 (22 ก.ค. 2565) ชี้แจงในประเด็นการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ว่า ได้มีการชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว ทั้งในวาระก่อนหน้านี้ วาระงบประมาณฯ วาระ กมธ. สรุปได้ว่าถ้าท่านให้เท่าไรก็ทำเท่านั้น สิ่งที่เขาชี้แจงมามันมีเหตุผลของเขาเอง แต่ถ้าบอกว่าไม่เร่งด่วนก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าเพราะเป็นอำนาจของท่าน สิ่งต่างๆ ที่กล่าวหากไม่ถูกต้องในรัฐธรรมนูญแห่งชาติ มีหลายเรื่องรับทราบแล้วบางประการ อะไรที่เป็นประโยชน์จะเข้าสู่กระบวนการในการจัดการต่อไปก็ขอบคุณ
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเรื่องการชุมนุม มีการพูดจาหลายเรื่องทั้งการใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อป้องกันผู้เห็นต่าง ผมถามว่าที่ผิดกฎหมายเป็นกฎหมายปกติหรือเปล่า เป็นกฎหมายที่เขียนมาใหม่หรือเปล่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมให้นโยบายมาตลอดต่อเนื่องว่าให้ความระมัดระวังอย่างที่สุดในการบังคับใช้กฎหมายและอะไรที่แจ้งเตือนได้ก็แจ้งเตือน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่อาจได้รับคำชี้แจงที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดเพี้ยนไป มีการไปพูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อไม่ต้องการให้อยู่ท่ามกลางอันตราย และถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นเรื่องของศาลซึ่งผมไม่เคยไปใช้อำนาจก้าวล่วงใดๆ ทั้งสิ้น กรุณาระวังด้วย เรื่องสิทธิมนุษยชนให้เต็มที่ คิดว่าให้เกิน 100% ไปแล้วนะตอนนี้ กฎหมายหลายตัวก็มีอยู่ พยายามที่จะผ่อนหนักผ่อนเบา ผ่อนสั้นผ่อนยาวให้มาโดยตลอด
“ไม่เข้าใจว่า ทำไมการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่มีรัฐบาล มีพรรคการเมืองบางพรรคเข้ามาอยู่ตรงนี้ เป็นเรื่องที่มันอันตรายที่สุด ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ คิดว่าคนไทยทั้งประเทศก็คงมองออก ไม่ว่าการไปพูดจาในโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อทำลายล้างระบบของเราทั้งหมด เพื่อจะเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ผมคิดว่าคนไทยคงไม่ยอมหรอกครับ เพราะฉะนั้นจะมาโทษว่าเจ้าหน้าที่ทำโน่นทำนี่ไม่ได้นะ เพราะท่านเป็นผู้ทำเอง กฎหมายทุกฉบับผมไม่ได้กำหนดขึ้นมาใหม่”
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการป้องกันประเทศและดูแลชายแดนว่าพูดไปหลายครั้งแล้ว ก็พยายามฟื้นขึ้นมาอีกให้ได้ ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่จะให้ถูกใจท่านทั้งหมดไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทำงานด้วยระบบ ทำงานด้วยความร่วมมือ มีการประสานกับต่างประเทศ เรื่องกิจการภายในและการต่อสู้ก็เป็นเรื่องของเขา เราคงไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายกับสถานการณ์แบบนี้ในประเทศเช่นกัน ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ด้วยในการพูดจาต่างๆ ยืนยันว่ามีการจัดทำพื้นที่พักพิงปลอดภัย และช่วยเหลือทางมนุษยธรรมผู้หนีภัย
- เรื่องหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ตนเองไม่ได้ไปทำลายระบบ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับคนที่ออกนอกกระบวนการศึกษา “แต่ก่อนมีหรือไม่ มันมี ไม่ใช่ว่าไม่มี สมัยก่อนที่ท่านว่าดีๆ แน่ๆ มีเหมือนกัน แต่ผมก็พยายามทำของผม สมัยก่อนก็ไม่เห็นท่านทำอะไรในสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มาถึงผม ท่านก็มาจับตาดูว่า ผมทำได้มากน้อยเพียงใด เอาละครับผมก็จะทำ ท่านเสนอมาผมก็จะดูให้ ในส่วนของหนี้ กยศ. ทำไมต้องสอนคนให้ไม่รับผิดชอบ เพราะสิ่งที่ตนเองทำให้รับผิดชอบ เมื่อกู้เงินไป แต่ต้องทำอย่างไรเพื่อลดภาระส่งต้นส่งดอก
“หลายคนผมไม่อยากเอ่ยชื่อ ยังไม่จ่ายกยศ.เลย มีเงินเดือนเป็นแสน ผมก็ไม่เข้าใจ”
- เรื่องการใช้สปายแวร์เพกาซัส
พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงในประเด็นการใช้สปายแวร์เพกาซัส โดยระบุว่า “เพกาซ้ง เพกาซัสอะไร ผมไม่รู้จักหรอกนะครับ ท่านก็ว่าผมไม่ฉลาดอยู่แล้วนี่ ไม่มีค่า ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาเสียเงินงบประมาณเพื่อมาตามไอ้เรื่องแบบนี้หรอก”
ทั้งนี้ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ร่วมด้วย Citizen Lab มหาวิทยาลัยโตรอนโตประเทศแคนาดา Digital Reach ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนล เทคโนโลยี ระบุว่า มีการใช้มัลแวร์ดังกล่าวสอดส่องประชาชนไทยมากถึง 30 ราย ระหว่างปี 2020 ถึง ปลายปี 2021 และอาจจะยังมีการดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นนักกิจกรรม นักวิชาการและภาคประชาสังคม










