ฝ่ายค้าน ยื่นญัตติซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์และคณะรัฐมนตรี แบบไม่ลงมติ นพ.ชลน่าน ลั่นเปิดยุทธการ “ถอดหน้ากากคนดี” ชำแหละบริหารแผ่นดินบกพร่อง เพื่อให้ประชาชนนำไปตัดสินใจในการเลือกตั้งปี 2566 คาดอภิปรายหลังจากกลางเดือน ม.ค. 66
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อชาติ พร้อมด้วยส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ร่วมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร รับญัตติจากส.ส.ฝ่ายค้าน
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลโดยไม่ลงมติ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 152 ภายใต้ยุทธการ “ถอดหน้ากากคนดี” เนื้อหาที่จะอภิปราย จะชี้ให้เห็นถึงการบริหารงานราชการแผ่นดินที่บกพร่อง ไม่ได้ทำตามคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาฯ ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
“ตามที่สื่อมวลชนมอบฉายาให้รัฐบาลหน้ากากคนดี ฝ่ายค้านจะขอกระชากหน้ากาก อภิปรายเจาะลึกทุกประเด็นให้เห็นว่าภายใต้หน้ากากคนดีที่อยู่มา 8 ปี เนื้อแท้ของคนดีที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองนั้นเป็นอย่างไร ถือเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า การอภิปรายครั้งนี้ ส.ส.ลงมติไม่ได้ แต่ประชาชนจะได้ร่วมตรวจสอบได้ดูว่า คนดีนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เพื่อจะได้นำไปตัดสินใจในการเลือกตั้งปี 2566” นพ.ชลน่าน
ด้านนายพิธา กล่าวว่า การอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เป็นการอภิปรายในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาล ถึงแม้ ส.ส.จะโหวตไม่ได้ แต่ประชาชน สามารถนำไปตัดสินใจโหวตแทนส.ส. ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ขณะที่นายชวน กล่าวภายหลังรับญัตติจากพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ช่วงเวลาการอภิปราย น่าจะหลังจากกลางเดือนม.ค. 66 ไปแล้ว เพราะต้องไปหารือฝ่ายรัฐบาลว่ามีความพร้อมทางเวลาเมื่อไร ถึงจะมีการบรรจุญัตติเข้าสภาฯ นอกจากนี้ก่อนกลางเดือน ม.ค. 66 จะมีการประชุมร่วมรัฐสภาตามที่ฝ่ายค้านเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ตัดอำนาจ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ และการโหวตเลือกนายกฯ ให้มาจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอมา หรือมาจาก ส.ส.ในสภาฯ เท่านั้น










