วันที่ 17 ม.ค. 2565 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) มูลนิธิ สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เสนอผลสำรวจ เรื่อง โพล ควบรวม ทรู ดีแทค กรณีศึกษาประชาชน ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,331 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 5 – 14 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา พบว่า
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.9 คัดค้านการควบรวมกิจการทรู กับ ดีแทค ในขณะที่ร้อยละ 16.1 เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการ ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงระดับความรู้ความเข้าใจมากถึงมากที่สุดของประชาชนต่อการควบรวมธุรกิจ ทรู กับ ดีแทค พบว่า
-ร้อยละ 51.6 ระบุ ประเทศไทยและประชาชนจะตกอยู่ในมือนายทุนผูกขาด
-ร้อยละ 50.3 หรือประมาณครึ่งหนึ่งระบุ จะเกิดการผูกขาดธุรกิจของกลุ่มนายทุน
-ร้อยละ 45.7 ระบุ ค่าบริการจะแพงขึ้น หลังการควบรวมกิจการธุรกิจ
-ร้อยละ 41.4 ระบุ เกิดความไม่เป็นธรรมในข้อตกลงสัญญากับผู้บริโภค
-ร้อยละ 40.8 ระบุ การควบรวมกิจการธุรกิจของทรูกับดีแทค จะกลายเป็นการผูกขาดธุรกิจให้เหลือน้อยราย ลดทางเลือกของผู้บริโภคลง
-ร้อยละ 40.8 เท่ากัน ระบุจะเกิดการกีดกันการค้าของผู้ประกอบการรายย่อย
-ร้อยละ 39.7 เข้าใจว่า การควบรวมกิจการธุรกิจของทรูกับดีแทคจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภค
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงผลกระทบในอนาคตจากการควบรวมธุรกิจทรูกับดีแทค พบว่า
-ร้อยละ 51.3 ระบุ ผู้บริโภคไม่มีทางเลือก
-ร้อยละ 49.8 ระบุ ไม่เกิดการแข่งขัน
-ร้อยละ 49.2 ระบุ ราคาค่าบริการจะสูงขึ้น
-ร้อยละ 36.7 ระบุ เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค
-ร้อยละ 24.3 ระบุ คุณภาพบริการจะแย่ลง
-ร้อยละ 17.2 ระบุ ประเทศสูญเสียรายได้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านการควบรวมกิจการทรูกับดีแทค ด้วยความรู้ความเข้าใจของประชาชนว่าประเทศไทยและประชาชนจะตกอยู่ในมือนายทุนผูกขาด และก่อให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ทั้งผลประโยชน์ชาติและของประชาชนแต่ละคน
โดยมีความคิดว่าการควบรวมจะทำให้ค่าบริการแพงขึ้น เกิดความไม่เป็นธรรมในข้อตกลงสัญญากับผู้บริโภค รวมทั้งเป็นการลดทางเลือกของผู้บริโภค และเกิดการกีดกั้นการค้าผู้ประกอบการรายย่อยที่ส่งผลเสียโดยรวมต่อผู้บริโภค
เพราะจะเกิดผลกระทบในอนาคตในหลายมิติ ได้แก่ ผู้บริโภคไม่มีทางเลือก ไม่เกิดการแข่งขัน ราคาค่าบริการจะสูงขึ้น เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค คุณภาพการบริการจะแย่ลง และประเทศจะสูญเสียรายได้ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้ไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจที่จะก่อให้เกิดความสมดุลในตลาดการค้าเสรีที่ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์มากขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงหรือคงสภาพที่เป็นอยู่ในเวลานี้










