‘อิตาลี’ หนึ่งในประเทศที่โด่งดังเรื่องแฟชั่น ความหรูหรา ลักชัวรีไม่ต่างจากอีกหลายประเทศที่เรามราบกันอยู่แล้ว ด้วยปัจจัยทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจแบบผสมผสานในอิตาลี รวมทั้งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทำให้งานฝีมือและการผลิตสิ่งทอเริ่มมีชื่อเสียงมานาน และเป็นประเทศแห่งการสร้างดีไซเนอร์ชื่อดังมากมายของโลกด้วย จุดเริ่มต้นก็มาจากภูมิภาคต่างๆ เช่น ฟลอเรนซ์ มิลาน และเวนิสที่เป็นศูนย์กลางของศิลปะและแฟชั่นตั้งแต่ยุคเรเนซองส์ (Renaissance)
บลูเบิร์ก ได้รายงานความคืบหน้าว่า ‘PRADA’ และ ‘Versace’ อาจจะบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากที่เริ่มคุยกันเรื่องซื้อขายตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ดีลการซื้อกิจการในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับกลุ่มแบรนด์สินค้าหรูสัญชาติอิตาลี โดยเฉพาะ PRADA เพราะการควบรวมกิจการระหว่างสองแบรนด์ระดับตำนานครั้งนี้ จะทำให้ ‘อิตาลี’ กลายเป็นศูนย์กลางแห่งสินค้าหรูหราของโลกได้
ซึ่งในปัจจุบันตลาดแห่งนี้มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 6,000 ล้านยูโร ซึ่งจะช่วยเพิ่มอิทธิพลของโลกแฟชั่นอิตาลีได้มากทีเดียว จากส่วนที่ถูกครอบงำโดยกลุ่มแบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ เช่น กลุ่ม LVMH และ Kering ของฝรั่งเศส
[ มีนาคมนี้ลุ้นปิดดีล 1.5 พันล้านยูโร PRADA-Versace ]
กลุ่มบริษัท PRADA ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทแฟชั่นหรูสัญชาติอิตาลี เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า บริษัทกำลังเข้าใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการ Versace ซึ่งเป็นแบรนด์ไอคอนิกของแฟชั่้นสไตล์วินเทจอิตาลีในตำนาน โดยบริษัทแม่ในปัจจุบันก็คือ กลุ่มบริษัท Capri Holdings (CPRI.N)
โดยข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองตกลงราคาซื้อขายอยู่ที่ 1,500 ล้านยูโร แต่ก็เป็นไปได้ที่ราคาซื้อขายจริงอาจมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่ PRADA ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเบื้องต้นว่าไม่พบความเสี่ยงใดๆ ในเชิงธุรกิจหลังจากนี้
ขณะที่ รอยเตอร์ส รายงานว่าแม้ที่ผ่านมาจะมีบริษัทแฟชั่นหลายแห่งสนใจซื้อ Versace แต่ PRADA ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของ Versace ก่อนคู่แข่งรายอื่นๆ สะท้อนว่า Capri Holdings น่าจะมีแนวโน้มที่ดีในการซื้อขายกับ PRADA มากกว่าบริษัทอื่น
เมื่อปี 2018 กลุ่มบริษัท Capri Holdings ได้เข้าซื้อ Versace ด้วยมูลค่า 1.83 พันล้านยูโร ‘รวมหนี้สิน’
นักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์ทางการเงินของ PRADA ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยปี 2024 แบรนด์เติบโต ‘สองหลัก’ เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน สวนทางกับกลุ่มสินค้าหรูหราอีกหลายรายที่ตกต่ำ สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจทั่วโลก
Patrizio Bertelli ประธาน PRADA Group ได้กล่าวว่า “ความสำเร็จนี้ได้ตอกย้ำถึงความเกี่ยวข้องที่ยั่งยืนของแบรนด์เรา ซึ่งมาจากการมุ่งเน้นอย่างไม่ลดละต่อนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ คุณภาพ งานฝีมือ และความสามารถในการตีความความเป็นร่วมสมัยซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ PRADA”
อย่างน้อยการรวมกันของสองแบรนด์ทั้ง PRADA และ Vesace นักวิเคราะห์มองว่า จะเป็นการทวงอำนาจและศักดิ์ศรีของการเป็นประเทศแห่งแฟชั่นของโลกได้อย่างสมบูรณ์ เพราะตอนนี้ตลาดในอิตาลีถูกแบรนด์แฟชั่นของประเทศอื่นเข้ามากินส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ










