‘ประวิตร’ นัดทุกหน่วยงานถกปัญหาอาชญากรรมออนไลน์สัปดาห์หน้า หลังพบ จนท.รัฐ ตัวการขายข้อมูลแก๊งคอลเซนเตอร์ ทำผิดกฎหมาย PDPA เอง ส่วนพ.ต.ท.ที่ก่อเหตุมีรายงานว่าผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ถูกตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและถูกสั่งให้ย้ายให้เข้ามาปฏิบัติงานในส่วนกลาง
จากกรณีที่ ตำรวจไซเบอร์ บุกจับ 2 เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นนายตำรวจยศ พ.ต.ท. และเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ที่นำข้อมูลคนไทยกว่า 1,000 คน ไปขายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อนำไปใช้ในการหลอกลวง โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย จะมีรายได้จากการขายข้อมูลคนไทยเดียวกันให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน วันละ 20,000 บาท หรือ เดือนละ 600,000 บาท ซึ่งทางธนาคารพบการเคลื่อนไหวของเงินจากบัญชีม้าเข้ามายังบัญชีของผู้ต้องหา จึงประสานตำรวจตรวจสอบและจับกุมดังกล่าว
ล่าสุดมีรายงานว่า ตำรวจภูธรประจวบคีรีขันธ์ ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายตำรวจยศ พ.ต.ท. ตำแหน่ง สวป.สภ.อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยลงนามในคำสั่ง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา
ส่วนเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ นั้นวันนี้ (29 ต.ค.65) นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่าได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว มีรองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน กำหนดให้ตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 5 วัน (วันศุกร์ที่ 4 พ.ย.) หากพบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตามที่ถูกกล่าวหาจริง กระทำความผิดจริง ก็จะดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ถ้าผิดวินัยร้ายแรง ก็จะมีโทษ คือ ปลดออกหรือไล่ออก และจะดำเนินการตามกฎหมายสูงสุดทั้งวินัย อาญา เพราะเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าให้อภัย
เบื้องต้น กรมฯ ได้สั่งให้ย้ายเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เข้ามาปฏิบัติงานในส่วนกลาง โดยให้เข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพื่อให้สะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหากตรวจสอบพบว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินการตามระเบียบสูงสุดด้วย
ด้านนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส กล่าวถึงกรณีนี้ว่าจากที่ทางตำรวจมีการสอบสวนขยายผล กรณีแก๊ง Call Center พบเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นตัวการในการขายข้อมูลในระบบราชการของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้มีความผิดตามกฎหมายพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ของ กระทรวงดีอีเอสโดยตรง ฐานนำข้อมูลส่วนบุคคล ผู้อื่นไปขาย มีโทษอาญา จำคุก สูงสุด 1 ปี ต่อกรรม หากขายข้อมูล 10 คน ก็จะมีโทษถึง 10 ปี ถ้า 100 คนโทษก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 ปี
นอกจากนี้ ยังมีความผิดฐานเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษอาญา จำคุก 2 ปี และหากขายข้อมูลจนทำให้เสียหายเป็นวงกว้าง ทางสังคมโทษ จำคุกสูงสุดถึง 7 ปี จึงขอเตือนเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน บุคคลที่ สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคนอื่นๆ ได้ ให้ระวัง การกระทำที่ผิดกฎหมาย

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานกำลังเข้าจับกุมแก๊งแอปพลิเคชันพนันออนไลน์ ชาวจีนกว่า 50 คน และมีเม็ดเงินเข้าใช้บริการมากถึง 500 ล้านบาท โดยขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกฝ่ายทั้งตำรวจไซเบอร์ ตำรวจนครบาล และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่เร่งรัด กวาดล้าง ปัญหาอาชญากรรม ทั้งอาชญากรรมออนไลน์ และสถานที่อโคจรต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เน้นย้ำ ให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศในห้วงของการประชุมเอเปค 2022
นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่าในส่วนของกระทรวงดีอีเอส ได้ประชุมมีการประชุมติดตามสถานการณ์ และหาแนวทางเร่งรัดและแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI ) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทยกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดแก้ปัญหา โดยเฉพาะการหลอกลวงทางการเงิน ใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. แก๊ง Call Center 2. แชร์ลูกโซ่-ระดมทุนออนไลน์ 3. การพนันออนไลน์ 4. บัญชีม้า 5. การหลอกลวงซื้อขายสินค้าบริการออนไลน์ ซึ่งพบว่า คนร้ายมีการปรับรูปแบบและวิธีการหลอกลวงประชาชน จนมีเหยื่อหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก และมีการจับกุมผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง จากสถิติผู้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี พ.ศ. 2565 นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จนถึง วันที่ 24 ตุลาคม 2565 ศาลมีคำสั่งลงโทษผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แล้ว 184 คำสั่ง มี URLs ที่ผิดกฎหมายจำนวน 4,736 URLs
นายชัยวุฒิเปิดเผยด้วยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับงานด้านนี้ ให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสัปดาห์หน้าได้นัดประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสัปดาห์หน้าเพื่อเร่งรัดการทำงานให้เป็นรูปธรรม ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีด้วย










