การปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดฉากอีกครั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และยังคงมีการใช้ปฏิบัติการทางการทหารอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยยืนยันการโจมตีเป็นไปตามหลักสากลของการป้องกันตนเอง
HEADLINE ขีดเส้นใต้ประเด็นใหญ่ โดยสำนักข่าว TODAY ชวน ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาอธิบายกฎหมายสงครามให้เข้าใจกันมากขึ้นพร้อมประเมินกฎหมาย-หลักการระหว่างประเทศ และความเป็นไปได้ที่ไทยจะเดินเกมยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
[เข้าใจ Preemptive Strike ยุทธวิธี ‘ชิงโจมตีก่อน’ ]
กองทัพและกระทรวงต่างประเทศระบุในการแถลงข่าวศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ว่าประเทศไทยป้องกันตนเองแบบโจมตีก่อนเพื่อป้องกัน (Preemptive Strike) โดยมีเป้าหมายเพื่อ Neutralize Imminent Danger หรือต้องการทำลายภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาให้ไม่เป็นภัย ขณะที่หนังสือที่กัมพูชาส่งเข้าคณะมนตรีความมั่นคงระบุว่าไทย ‘โจมตีก่อน’ ผิดหลักบูรณภาพดินแแดน หลักการข้ามใช้กำลัง พร้อมระบุว่ากัมพูชาก็ ‘ใช้ความอดทนอดกลั้น’ ไม่ตอบโต้ทันที
ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึง ‘การโจมตีก่อน’ ว่าเมื่อมีการปะทะกันทางการทหาร จะมีกฎหมายหลักๆ อยู่ 2 ชุด คือกฎหมายสงคราม เช่น การเล็งเป้าต้องโจมตีแค่เป้าหมายทางทหาร มีการแยกระหว่างพลเรือนกับพลรบ และอีกอย่างคือ กฎบัตรสหประชาชาติ โดยที่คุ้นเคยกันดีและเป็นสิ่งที่ประเทศไทยระบุในหนังสือที่ส่งให้คณะมนตรีความมั่นคงคือ มาตรา 51 ซึ่งเป็นเรื่องสิทธิในการป้องกันตนเอง
ในมิติทางกฎหมาย เวลาที่จะใช้กำลังป้องกันตนเอง ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่ก็จะถูกจำกัดด้วย 3 เงื่อนไข คือ
1.การใช้กำลังทางการทหารตอบโต้กลับไปต้องจำเป็น – หมายความว่าใช้วิธีการอื่นแล้วไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ เช่น การเจรจา หรือ มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ
2.ห้ามใช้เกินว่าที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย (Proportionality) – แม้จะเป็นคำว่าได้สัดส่วน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขายิงมา 5 เราต้องยิงกลับไป 5 จะยิงมากหรือน้อยกว่าไม่มีสูตรตายตัว ต้องดูเป็นกรณีไป แต่เป็นการบรรลุเป้าหมายเพื่อป้องกันตนเอง ไม่ใช่การแก้แค้น
3. ต้องแจ้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ – ในทางปฏิบัติ สามารถแจ้งได้ทั้งก่อนหรือหลังการตอบโต้ แต่การชิงแจ้งไปก่อนก็จะมีความชอบธรรมมากกว่า ขณะที่เนื้อหาตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ระบุว่า ต้องแจ้งทันที
ซึ่งจุดที่อาจมีการถกเถียงกันคือ หากไปเปิดกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 นั้นไม่ได้ใช้คำในทำนองว่าสามารถ ‘ชิงโจมตีก่อน’ ได้ แต่บอกว่า สิทธิในการป้องกันตนเองจะใช้ได้เมื่อการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้น (an armed attack occurs)
อย่างไรก็ตามหลายๆ ประเทศมองว่าตีความแคบเกินไป และบางประเทศก็มองว่า นี่เป็นการตีความที่ไม่สมเหตุสมผล หากต้องรอให้ความเสียหายเกิดขึ้นก่อน
“ผมคิดว่าหลายๆ ประเทศ เห็นความจำเป็นเหมือนกันว่า ถ้าในทางการข่าวมันมีหลักฐานที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าประเทศเรากำลังถูกโจมตีแล้วนะครับ มันไม่น่าจะจำเป็นต้องรอให้ถูกโจมตีก่อน การชิงโจมตีไปล่วงหน้า และก็มีความจำเป็น ได้สัดส่วนเนี่ย มันควรจะทำได้ครับ” ดร.ภัทรพงษ์ อธิบาย
ดังนั้น เส้นแบ่งระหว่างการโจมตีที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ กับการใช้สิทธิโดยชอบธรรมที่เป็นการป้องกันตนเอง จำเป็นต้องระบุให้ได้ว่า ภัยที่ใกล้เข้ามาคืออะไร และมันใกล้เข้ามาจริงหรือเปล่า โดยหากประเทศไทยต้องการสร้างความเชื่อมั่นจริงๆ เมื่อปฏิบัติการทางการทหารยุติลงแล้ว อาจต้องมีการเผยแพร่ข่าวกรอง และพยานหลักฐานเท่าที่ทำได้ เพื่อทำให้คำชี้แจงของฝ่ายไทยมีน้ำหนักและเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ดร.ภัทรพงษ์มองว่า กัมพูชาไม่ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาใช้เพื่อต่อสู้กับฝ่ายไทย
“ผมตั้งข้อสังเกตแค่กัมพูชาไม่ได้โต้เรื่องนี้นะครับ ไม่ได้โต้เรื่องที่ว่าไทยไม่มีสิทธิในการป้องกันตนเองด้วยการชิงโจมตีล่วงหน้า” ดร.ภัทรพงษ์ วิเคราะห์
ในฐานะอาจารย์ด้านกฎหมาย อ.ภัทรพงษ์แย้งภาษิตโบราณที่บอกว่า “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น นักกฎหมายต้องนั่งลง” ว่านี่ไม่เป็นความจริง อย่างน้อยก็ได้เห็นแล้วว่า ฝ่ายไทยต้องชี้แจงว่าปฏิบัติการทางทหารดำเนินการตามหลักสากล ไม่ว่าจะเป็นกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายสงคราม และกฎหมายมนุษยธรรมตลอดเวลา
โดยการปฏิบัติตามกฎหมายในภาวะสงครามนั้น นอกจากเป็นความชอบธรรมแล้ว ยังสะท้อนว่าทหารในฐานะผู้ปฏิบัติการ เป็นทหารที่มีความมืออาชีพจริงๆ ด้วย
“เราอยากให้ทหารทุกประเทศนั่นแหละครับ รวมทั้งทหารไทยด้วย เป็นทหาร professional ความเป็น professional คืออะไร ข้อหนึ่งก็คือปฏิบัติวินัยทหาร อีกข้อหนึ่งก็คือปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายสงคราม กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว
[กัมพูชาเล่นเกมเดิม ไทยควรเดินเกมไหน]
ดร.ภัทรพงษ์ มองว่ากัมพูชาเล่นเกมเดิม เมื่อมีการปะทะก็ยื่นหนังสือเข้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อ้างข้อกฎหมาย อ้างความเป็นประเทศเล็ก อ้างเรื่องเส้นเขตแดน เรื่องดินแดนและการรุกรานจากประเทศไทย แต่สิ่งที่ต่างคือ Reaction (ปฏิกิริยา) ของต่างประเทศ
“ผมเองประเมินว่าความน่าเชื่อถืออย่างน้อยๆ ของผู้นำกัมพูชามันค่อยๆ ลดลงๆ ตอนที่ผู้แทนประเทศไทยเนี่ยไปแถลงเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารนะครับ โดยท่านทูตที่เจนีวา ท่านเปิดคลิปวิดีโอ เห็นใช่ไหมครับ ว่าเป็นทหารกัมพูชาฝึกวางทุ่นระเบิด ประกอบกับรายงานจาก AOT (คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน) ยืนยันว่าเป็นระเบิดใหม่ บวกกับระเบิดที่มาฝัง อยู่ในดินแดนของไทย พอเปิด GPS ดู อยู่ในของไทยอย่างแน่นอน เอาหลักฐานหลายๆ อย่างมาบวกกันเนี่ย ความน่าเชื่อถือของฝั่งกัมพูชาค่อยๆ ลดลงๆ ผมก็เลยคิดว่า ณ วันนี้เนี่ย แม้กัมพูชาใช้เกมเดิมนะครับ ความน่าเชื่อถือจากสายตาของต่างประเทศ น่าจะค่อยๆ ลดลง ยิ่งเรื่องสแกมเมอร์เนี่ย ยิ่งชัดเจนเลย” ดร.ภัทรพงษ์ กล่าว
ขณะที่การเดินเกมอีกอย่างคือเมื่อเดือนที่ผ่านมา มีรายงานว่าภาคประชาชนของกัมพูชายื่นเรื่องไปที่อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งปกติแล้ว ในกรณีที่ภาคประชาชนเป็นคนยื่นเรื่องเช่นนี้อัยการจะเก็บเป็นความลับจนกระทั่งกลั่นกรองเรียบร้อยว่ามีมูลจึงจะรายงาน และอาจใช้เวลานานพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ดร.ภัทรพงษ์ มองว่าประเทศไทยน่าจะสามารถฟ้องเรื่องสแกมเมอร์เข้า ICC ได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก
[ไทยต้อนย้อนเกล็ด ฟ้องกัมพูชาบนศาลอาญาระหว่างประเทศ]
เขตอำนาจของศาล ICC นั้นไม่เหมือนกับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อเป็นศาลอาญา จึงไม่ได้อิงอยู่กับว่าประเทศนั้นยอมรับเหตุอำนาจศาลหรือไม่ แต่หลักที่ศาล ICC ตีความคือตราบใดที่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในดินแดนของรัฐที่รับเขตอำนาจศาลก็จะถือว่าอยู่ในเหตุที่สิ้น พูดง่ายๆ คือ ยึดที่เกิดเหตุเป็นหลัก ดังนั้นคนประเทศอะไรก็ตาม ถือสัญชาติอะไรก็ตาม ถ้ามาทำความผิดในดินแดนของประเทศที่รับเขตอำนาจศาล ก็จะเข้าเขตศาลทันที
“คือเรื่องสแกมเมอร์เนี่ย ผมเชียร์จริงๆ นะ ผมเชียร์ให้เอาเรื่องเข้า ICC นะครับ ตอนแรกๆ ผมให้ความเห็นลักษณะว่าต้องคิดให้ถี่ถ้วน เพราะมันกระทบความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลอย่างตรงที่สุด ไม่รู้จะตรงยังไงแล้วครับ ก็คือเปิดหน้าชกกันเลย ก็คือความสัมพันธ์ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว มาจะเจรจา มองหน้ากันไม่ได้แล้ว เพราะเรากำลังเอาผู้นำ หรือว่าพ่อของผู้นำอีกประเทศหนึ่งขึ้นศาล ICC…แต่ ณ วันเนี้ยเนี่ยนะครับ ผมคิดว่ามันชัดแล้วแหละนะครับ ว่าฝั่งผู้นำกัมพูชาเอง เค้าก็ไม่ได้เกรงใจรัฐบาลไทยขนาดนั้น อันนี้พูดแบบเบาที่สุดแล้วนะครับ เขาก็ไม่ได้เกรงใจรัฐบาลไทย เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าประเทศไทยอยากจะจริงจังเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์จริงๆ การพิจารณาเอาเรื่องส่งข้อมูลให้ศาล ICC ก็เป็นเรื่องเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าจะพิจารณาอย่างจริงจัง ประเทศไทยไม่ได้สมาชิกเป็นรัฐบาลไทยส่งไม่ได้ครับ แต่ประชาชนรวมตัวกันส่งเรื่องเข้าไปได้” ดร.ภัทรพงษ์ ระบุ
ดร.ภัทรพงษ์ มองว่า หากประเทศไทยอยากเป็นเจ้าภาพในการแก้ปัญหาเรื่องการจัดการสแกมเมอร์ และดึงหลายๆ ประเทศที่มาเข้าร่วม ซึ่งจะมีเกาหลีใต้เป็นประเทศสมาชิกภาคีศาลโลก เกาหลีใต้ก็อาจจะอยากเล่นเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไทยก็สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและสนับสนุนหลักฐานได้










