วิกฤติไวรัสโคโรน่า เป็นวิกฤติที่เกิดกับทั่วโลก และส่งผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย เป็นสถานการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หมด
การระบาดของโรคที่รุนแรงขนาดนี้ เป็นสิ่งใหม่ของคนทั้งโลก ซึ่งที่ผ่านมาหลายภาคส่วนก็พยายามเรียนรู้ และพยายามร่วมกันพาประเทศออกจากวิกฤตินี้ แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ยังปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ทีมข่าว Workpoint News รวบรวมข้อเสนอ ผ่านบทเรียนที่ผ่านมา เพื่อหวังให้การทำงานของภาครัฐปรับเปลี่ยนไปสู่เส้นทางที่ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชน
จากการระบาดเพิ่มเติมทางซีกโลกตะวันตก แสดงให้เห็นว่าวิกฤติไวรัสครั้งนี้น่าจะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาอีกสักระยะ ดังนั้นจึงยังไม่สายสำหรับประเทศไทยที่จะเริ่มแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป
1- มีศูนย์กลางการสื่อสารที่ชัดเจน
ในสถานการณ์วิกฤติ ภาครัฐควรการสื่อสารกับประชาชนอย่างชัดเจน ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขจะทำการแถลงทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะมีความคืบหน้าให้ติดตามได้ตลอด
แต่นอกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ก็มีการสื่อสารจากภาครัฐอีกหลายช่องทาง เช่น โฆษกรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน ตามปัญหาแต่ละด้านที่เกิดขึ้น และล่าสุดมีการเปิดศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ที่มีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ
การมีช่องทางการสื่อสารของภาครัฐที่หลากหลายไม่ใช่ปัญหา หากทุกส่วนสามารถสื่อสารได้ชัดเจนและข้อมูลตรงกัน
บทเรียนจากเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำที่เชียงราย ทั้งสื่อมวลชนและคนไทยทั้งประเทศรู้ว่า ถ้ามีอะไรก็ให้รอ ผู้ว่าณรงศักดิ์ เพียงคนเดียวได้เลย ซึ่งทำให้มีความชัดเจนในข้อมูลที่ภาครัฐต้องการจะสื่อสารออกมา
ในวิกฤติไวรัสโคโรน่า รัฐบาลควรกำหนดการสื่อสารให้ชัดเจน ว่าสื่อมวลชนและประชาชนควรฟังข้อมูลเรื่องใดจากหน่วยงานไหนหรือใคร แต่ละปัญหาอาจแยกกันสื่อสารตามความรับผิดชอบของหน่วยงานก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือข้อมูลของแต่ละจุดที่สื่อสารออกมานั้นจะต้องชัดเจน เป็นข้อมูลเดียวกัน ทำหน้าที่ตอบปัญหากับสังคมอย่างเท่าทันกับความสงสัย
2- ความโปร่งใสของข้อมูล
นับถึงวันที่ 7 มีนาคม 2563 ประเทศไทยตรวจเจอเชื้อ 50 คน รักษาหายแล้ว 31 เสียชีวิต 1 คน
และแม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะแถลงข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในไทยทุกวัน แต่สิ่งที่คนไทยไม่เคยได้รับรู้เลยก็คือ ผู้ติดเชื้อเหล่านี้เคยเดินทางไปที่ไหนบ้าง และพื้นที่ไหนจังหวัดไหนของไทยที่อาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อบ้าง
ที่ญี่ปุ่นมีการทำเว็บไซต์แบบลงข้อมูล Real-Time คนไข้มีการระบุหมายเลขชัดเจน ว่าติดเชื้อคนที่เท่าไหร่ อยู่เมืองไหน อาการล่าสุดเป็นอย่างไร ขณะที่ในสิงคโปร์ ที่ปัจจุบันมีคนไข้ 112 เคส ในเว็บก็บอกดีเทลละเอียดมากทั้งอายุ เพศ เชื้อชาติ บ้านพักอยู่ละแวกไหน และสามารถเข้าเยี่ยมได้ที่โรงพยาบาลอะไร ซึ่งคนที่อยู่ใกล้เคียงกับผู้ติดเชื้อจะได้เพิ่มความระวัง ส่วนคนที่ไม่ใกล้ จะได้ไม่ต้องวิตกเกินพอดี
การได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ จะทำให้เราประเมินสถานการณ์ได้ถูก ไม่เกิดความหวาดวิตกไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะระวังอะไรบ้าง ถ้าเราอาศัยอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน อุดรธานี เราก็ไม่รู้เลยว่าควรต้องตื่นตระหนกกับโคโรน่าไวรัสหรือไม่ และต้องป้องกันตัวแค่ไหน เท่ากับที่กรุงเทพฯ หรือเปล่า
ความชัดเจนตรงนี้ จะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ไม่ให้เกิดผลกระทบเกินไปกว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นจริงอีกด้วย
3- ลดการนำเสนอข้อมูลที่ไม่จำเป็น
ในภาวะวิกฤติแบบนี้ สังคมอ่อนไหวต่อข้อมูล พร้อมจะเชื่อทุกสิ่งที่ได้อ่าน โดยเฉพาะจากคนในระดับบังคับบัญชา
นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สร้างความสับสนให้ประชาชนหลายครั้ง ตั้งแต่การใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้กับประชาชนอย่างไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ จนถึงคราวล่าสุด วันที่ 3 มีนาคม ที่มีการโพสต์เอกสารราชการ เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่า กำหนดให้ 9 ประเทศ เป็นเขตโรคติดต่ออันตราย ใครมาจาก 9 ประเทศนี้ ต้องกักตัว 14 วัน ไม่มีข้อยกเว้น
แต่โพสต์ได้แค่ไม่นานนัก นายอนุทิน ลบโพสต์ดังกล่าว และปิดเฟซบุ๊กส่วนตัวทิ้งไปเลย โดยให้สาเหตุว่าไม่ได้โพสต์เองแต่มีทีมงานโพสต์ให้
ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ ภาครัฐต้องตระหนักว่าความเคลื่อนไหวของคนในระดับบังคับบัญชาเป็นเรื่องสำคัญ คำพูดหนึ่งคำส่งผลต่อประชาชนอย่างมาก การให้ข้อมูลเดี๋ยวผิด เดี๋ยวถูก เดี๋ยวโพสต์ เดี๋ยวลบ จะสร้างความสับสนกับประชาชนได้
ยิ่งมีอำนาจในมือ ต้องยิ่งระวังในการสื่อสาร ยิ่งสถานการณ์วิกฤติ ยิ่งต้องลดสิ่งที่สร้างความสับสนกับสังคม
4- ทำงานให้รวดเร็วขึ้น เช่นเรื่องหน้ากาก
เรื่องหน้ากาก กรมการค้าภายในประกาศห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยทุกประเภท ทุกจำนวน ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดแล้ว ก็ยังมีการส่งออกไปขายต่างประเทศนับล้านชิ้น รวมถึงภาพที่เราเห็นชาวต่างชาติมากว้านซื้อหน้ากากในไทย ทั้งๆ ที่ความต้องการของคนไทยยังสูงถึง 35 ล้านชิ้นต่อเดือน
เทียบกับรัฐบาลของไต้หวัน ที่งดการส่งออกตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม คือทันทีที่เห็นทิศทางของการติดเชื้อ ไต้หวันระงับการส่งออกทันที แม้จะโดนตำหนิอย่างหนักในช่วงแรกเกี่ยวกับเรื่องมนุษยธรรม แต่สุดท้ายรัฐบาลไต้หวันก็พิสูจน์ว่าตัดสินใจถูกต้อง แล้วคนที่ตำหนิไปในตอนแรกก็ต่างออกมาขอโทษ ซึ่งการ Take Action อย่างเฉียบขาด ทำให้ไต้หวันมีผู้ติดเชื้อปัจจุบันแค่ 45 คนเท่านั้น
5- ให้ข้อมูลความรู้กับประชาชนอย่างชัดเจนขึ้น
เรื่องหน้ากากอนามัย จริงๆ แล้วต้องใส่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่าคนร่างกายปกติ ไม่ใส่หน้ากากอนามัยมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า แต่ก็มีคำแนะนำออกมาบอกว่าการใส่ย่อมดีกว่าไม่ใส่ ทำให้เกิดความสับสนในข้อมูลความรู้เรื่องนี้
ที่ผ่านมาประชาชนได้ความชัดเจนจากสื่อมวลชน หรือประชาชนด้วยกันเองผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นการเรียนรู้กันเอง ทั้งๆ ที่ภาครัฐควรมีหน้าที่ให้ความรู้ไปในทิศทางเดียวกัน
6- ให้ความสำคัญกับบุคลากรทางแพทย์
สืบเนื่องจากข้อ 5 อ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก จะพบว่าถ้าหน้ากากมีจำนวนจำกัด กลุ่มบุคคลแรกที่ควรได้รับหน้ากากอนามัยก่อน คือสถานพยาบาล เนื่องจากต้องรับมือกับผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากแพทย์และพยาบาลมีอุปกรณ์ไม่พอใช้จนติดโรคกันไป ใครจะมารักษาประชาชน
วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา 13 โรงพยาบาลใหญ่ เช่น ศิริราช, จุฬาลงกรณ์, สภากาชาดไทย, รามาธิบดี, มหาราชนครเชียงใหม่ เป็นต้น ขอความอนุเคราะห์ไปยังกรมการค้าภายใน ให้แบ่งหน้ากากขายให้โรงพยาบาลก่อน แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ
หนำซ้ำกรมการค้าภายในยังนำหน้ากากอนามัยมาวางขายเองให้ประชาชนทั่วไปอีกต่างหาก แสดงให้เห็นถึงการลำดับความสำคัญที่ผิดพลาด
ล่าสุด รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า ตอนนี้ทางโรงพยาบาลเหลือหน้ากากอนามัยสำรองใช้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ โดยจุดสำคัญคือปัญหาระบบการกระจายหน้ากากอนามัย ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในบางส่วน เช่นฝ่ายโภชนาการ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ปวยโดยตรง ต้องเลี่ยงไปใช้หน้ากากผ้าแทน
7- ใช้ศูนย์ต่อต้าน Fake News อย่างมีประสิทธิภาพ
ในประเทศไทย มีคนจำนวนมากที่หูเบาเกินเหตุ เห็นข่าวอะไรมาก็แชร์ไปก่อน จนทำให้รอบตัววิตกกันหมดเพราะไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า จากนั้นก็แชร์กันต่อๆ มาไปเรื่อยๆ จนไม่รู้อะไรเท็จอะไรจริงไปหมด ดังนั้นถ้ามีหน่วยงานที่คอยจัดการสรุปให้ชัดเจนว่า อันไหนข่าวกรอง อันไหนข่าวจริง จะเป็นประโยชน์กับประเทศมาก
จริงๆ มีสื่อบางราย เช่นเว็บไซต์ mgronline จะทำเซ็กชั่นออกมาชื่อ “รู้ทัน Fake News” ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งดี แต่มันย่อมดีกว่า ถ้ามีหน่วยงานของภาครัฐที่เข้าถึงข้อมูลได้ทุกอย่าง เป็นจุดศูนย์กลางในการคอยจัดการ Fake News เหล่านี้
รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ Fake News ขึ้นมาแล้ว โดยที่ผ่านมาถูกตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ของศูนย์นี้ว่ามีไว้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือสาธารณะ วาระวิกฤติโควิด-19 นี้ เป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์จาก ศูนย์นี้อย่างที่สุด
8- ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน สร้างโปรแกรมข้อมูลหน้ากากอนามัยของร้านขายยาทั่วประเทศไต้หวัน โดยสามารถเช็กได้เลยว่าร้านขายยาร้านนี้ เหลือสินค้าอีกกี่ชิ้น และประชาชนที่ต้องการหน้ากากต้องเดินทางไปซื้อที่ไหน
นอกจากนั้นยังจัดทำโปรแกรมแผนที่ของไต้หวัน ที่ผู้โดยสารเรือสำราญไดมอนด์ ปรินเซส เคยเดินทางไป เพื่อเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลา 14 วันก่อน
ความรู้ความสามารถของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน ถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในยามเกิดวิกฤติ แต่ที่ไทย เรายังไม่เห็นการใช้ความรู้เชิงเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ได้สมกับศักยภาพของคนในประเทศ
หากเข้าเว็บไซต์ mdes.go.th ซึ่งเป็นเว็บกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ข่าวเด่นแรกสุดที่โชว์ในหน้าเว็บคือ
“ดีอีเอสเชิญชวนร่วมงานเดิน-วิ่งการกุศล Digital Run2020 -29 มีนาคม 2563 ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล”
ซึ่งไม่น่าจะเป็นวาระที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ ตามหน้าที่ของกระทรวง
บทสรุป
ในภาวะวิกฤตินี้ ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาก่อน ดังนั้นเราทราบดีว่า การจัดการปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เรายังเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของบุคลากร และงบประมาณที่มี รัฐบาลสามารถทำได้ดีกว่านี้ เพื่อทำให้ประเทศไทยสามารถเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้โดยบอบช้ำน้อยที่สุด
รวบรวมโดยทีมข่าว Workpoint News









