สงครามในตลาด ‘กาแฟนอกบ้าน’ ดูเหมือนจะดุเดือดขึ้นอีกไม่น้อย หลัง บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เจ้าของปั๊มพีทีและแบรนด์ร้านกาแฟที่เปิดมา 10 ปีแล้วอย่าง ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ ประกาศบิ๊กโปรเจ็กต์ ลุยขยายสาขาให้ครบ 1,500 สาขาในปีหน้า
‘พิทักษ์ รัชกิจประการ’ ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG บอกว่า แม้การระบาดของโควิด-19 จะกระทบกับเศรษฐกิจ แต่ถึงอย่างนั้นโควิดก็ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปด้วย คนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกจากบ้าน หลายคนต้อง work from home และนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเดลิเวอรี่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
การเติบโตของเดลิเวอรี่จนส่งผลให้ตลาดกาแฟนอกบ้านเติบโตไปด้วย ทำให้ ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ แบรนด์ร้านกาแฟที่เปิดมานานแล้วแต่ที่ผ่ายมาไม่ค่อยสร้างแบรนด์มากนัก จับโอกาสลุยเดลิเวอรี่มากขึ้นตั้งแต่ปี 2563 เริ่มโฟกัสเดลิเวอรี่อย่างจริงจังในปี 2564 และปรับกลยุทธ์ใหม่ ขยายสาขาไปนอกปั๊มน้ำมันมากขึ้น
ซึ่งดูเหมือนว่ากลยุทธ์เหล่านั้นจะทำให้กาแฟพันธุ์ไทยจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เห็นได้จากผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดด คือ
-ครึ่งปีแรกของปี 2565 กวาดรายได้ไป 480 ล้านบาท (เฉลี่ยเดือนละ 80 ล้านบาท) เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 2 เท่า
-ช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3/2565 ทำรายได้ไปได้ถึง 230 ล้านบาท (เฉลี่ยเดือนละ 115 ล้านบาท)
-ผลประกอบการในธุรกิจนี้เริ่มมีกำไรเป็นครั้งแรกในไตรมาส 4/2564 และหลังจากนั้นมีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง
ตัวเลขรายได้ในปีนี้ที่มีแนวโน้มสดใส ทำให้ PTG คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 กาแฟพันธุ์ไทยจะมีรายได้เติบโตจากครึ่งปีแรกอีก 120% หรืออยู่ที่ราวๆ 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการปรับกลยุทธ์ 4 ด้านด้วยกัน ดังนี้
1.ขยายสาขา – กลยุทธ์แรกที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยนำมาใช้ คือการขยายสาขาทั้งในและนอกปั๊มน้ำมัน เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงานเป็นหลัก ทำให้เน้นขยายสาขาไปในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสัดส่วน 50% ภาคอีสาน 15% และภาคอื่นๆ ภูมิภาคละประมาณ 8%
ทั้งนี้ ปัจจุบันกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขาอยู่กว่า 500 สาขา (ในปั๊ม 70% นอกปั๊ม 30%) สิ้นปีนี้น่าจะแตะถึง 600 สาขา
และตั้งเป้าว่าปี 2566 จะขยายเป็น 1,500 สาขา
ใน 3 ปีถัดไป คือปี 2567-2569 จะขยายอีกปีละ 1,000 สาขา
เท่ากับว่าสิ้นปี 2569 กาแฟพันธุ์ไทยจะเปิดให้บริการมากถึง 4,500 สาขา
โดยโมเดลที่จะนำมาใช้ขยายสาขาก็คือโมเดล ‘ธุรกิจแฟรนไชส์’ นั่นเอง โดยแฟรนไชส์ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ลงทุนเริ่มต้นที่ 1.25 ล้านบาท (ไม่รวมค่าสมัครแรกเข้า 1.5 แสนบาท และค่าธรรมเนียมรายเดือนเพิ่มเติม)
ซึ่งบริษัทจะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาตั้งแต่การบริหารจัดการร้าน, วัตถุดิบ, การฝึกเทรนนิ่งพนักงาน, การควบคุมคุณภาพและรสชาติของเครื่องดื่ม
PTG ยังมีธนาคารที่เป็นพาร์ตเนอร์ในเรื่องสินเชื่อสำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของแฟรนไชส์แต่เงินลงทุนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังนำเสนอที่ดินทำเลพิเศษสำหรับคนที่ไม่มีทำเลที่ตั้งอีกด้วย
‘พิทักษ์’ บอกว่า ปัจจุบันร้านกาแฟพันธุ์ไทยมีเป็นโมเดลแฟรนไชส์ในสัดส่วนราว 40-45% นอกนั้น PTG บริหารเอง โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2570 สัดส่วนของร้านแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 80% บริหารเอง 20%
2.ออกสินค้าใหม่ที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง – กาแฟพันธุ์ไทยจะนำวัตถุดิบของไทยรสชาติดีที่หากินได้ยากมาทำเป็นเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลดอกมะพร้าวจากอัมพวา จ.สมุทรสงคราม, ตาลโตนดจาก อ.สทิงพระ จ.สงขลา, ส้มมะปี๊ด จาก จ.จันทบุรี
และสินค้าใหม่ล่าสุดอย่าง ‘ไทยดีเสริฐ’ หรือขนมไทยดื่มได้ ที่ใช้วัตถุดิบลอดช่องจาก จ.เชียงใหม่ และฝอยทองจากอยุทธยา ซึ่งนอกจากจะสร้างความน่าสนใจแล้วยังเป็นการสนับสนุนชุมชนและเกษตรกรในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตอีกด้วย
3.วางกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารแบรนด์ผ่านช่องทางเดลิเวอรี่ – โดยเน้นความสะดวกในการเข้าถึงแบรนด์ของลูกค้า เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์และการมองเห็นให้มากขึ้น ซึ่งจากการดำเนินงานในปี 2564 ที่ผ่านมา ยอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตมากขึ้นถึง 4 เท่า
4.นำข้อมูลลูกค้าจากบัตรสมาชิก Max Card และ Max Card Plus – ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 17 ล้านคนทั่วประเทศ ให้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพิ่มยอดขาย และเพิ่มความถี่ของการเข้ามาใช้บริการในร้านกาแฟพันธุ์ไทยให้มากขึ้น

‘บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์’ ที่ปรึกษาด้านแบรนด์ดิ้ง กาแฟพันธุ์ไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ได้มีโอกาสเข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กาแฟพันธุ์ไทย ก็มีการแนะนำปรับเปลี่ยนในด้านต่างๆ เพื่อสร้างแบรนด์มากขึ้น เช่น การปรับโครงสร้างการทำงาน, เสริมทีมงานด้าน R&D, เทรนนิ่งทีมมาร์เก็ตติ้ง ฯลฯ เพื่อให้กาแฟพันธุ์ไทยไปถึงเป้าหมายที่ผู้บริหารวางไว้
“และเนื่องในโอกาสครบ 10 ปี กาแฟพันธุ์ไทย ได้ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ส่งแคมเปญ ‘เวลาเป็นไท’ ที่ชวนมาพักผ่อนด้วยการดื่มกาแฟในช่วงเวลาเป็นไท พร้อมส่งโปรโมชั่นสั่งเครื่องดื่มจากร้านกาแฟพันธุ์ไทยแก้วที่ 2 ได้ในราคาเพียง 10 บาทเท่านั้น (เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทฯกำหนด) พร้อมโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมาย” บุณย์ญานุชกล่าว
สำหรับการรุกธุรกิจเต็มสูบขนาดนี้ ‘พิทักษ์’ บอกว่าเป็นเพราะมองว่าตลาดกาแฟนอกบ้านยังมีโอกาสเติบโตอยู่ โดยปีนี้ตลาดกาแฟนอกบ้านมีมูลค่าอยู่ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท แนวโน้มเติบโตปีละ 9.5% จากเทรนด์การดื่มกาแฟของคนไทยที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
เขายังตั้งเป้าหมายด้วยว่า ปีหน้ารายได้ของกาแฟพันธุ์ไทยน่าจะพุ่งขึ้นแตะ 2,400 ล้านบาท และเติบโตปีละ 50% ทุกปีไปอีกราว 4-5 ปี
นอกจากนี้ยังตั้งใจจะขยายธุรกิจ non-oil ของบริษัทไปให้มากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น บริการประกัน สินเชื่อ ฯลฯ ส่วนจะเห็นอะไรใหม่ๆ ออกมาบ้างต่อจากนี้ เป็นสิ่งที่เราต้องจับตาดูกันต่อไป










