เมื่อเศรษฐกิจบีบคั้น ‘ของมือสอง’ กลายเป็นทางรอดของผู้บริโภค และก็ยังเป็นโอกาสของคนสนใจทำธุรกิจขายสินค้ามือสองด้วย
นั่นก็เพราะในวันที่เงินในกระเป๋าเราหายไปเร็วกว่าที่เคย ราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้นเพราะภาษี และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า
ตอนนี้ถ้าไปสำรวจร้านขายของมือสองในต่างประเทศและไทยดูเหมือนจะมีอนาตตสดใสขึ้นด้วยซ้ำ
TODAYBizview จะพาไปสำรวจสถานการณ์นี้ผ่านกรณีศึกษาจากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ว่าในยุคเศรษฐกิจเปราะบางทำไมสินค้ารีเซลหรือสินค้าแฟชั่นมือสองถึงกลับยิ่งเติบโต
ตัวอย่างที่เราอยากหยิบมาเล่าให้ฟังคือ ร้าน Wildlife Thrift Store ใจกลางเมืองแวนคูเวอร์ ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมา ร้านที่ขายตั้งแต่เสื้อผ้า หนังสือ จานชาม ยันกระเป๋าแบรนด์ ได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และร้านขายสินค้ามือสองแ่หงนี้มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 10% แม้เศรษฐกิจจะซบเซา
Karla Ahlqvist เจ้าของร้านอธิบาย สาเหตุที่ทำให้ร้านมีผลประกอบการดีขึ้น เพราะเราไม่โดนภาษีนำเข้า ไม่ผลิตเอง ไม่ซื้อของใหม่ ไม่ต้องเสี่ยงกับต้นทุนแฝงใดๆ เราแค่ขายของที่มีอยู่แล้วในระบบ
นั่นทำให้ไตรมาสแรกของปี 2025 ยอดขายก็เพิ่มขึ้นกว่า 10% เทียบกับปีก่อน
“เราแทบไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าหรือสิ่งที่ Donald Trump ทำเลย เพราะเราไม่ได้สั่งของจากต่างประเทศ ไม่ได้ผลิตเอง ไม่ได้ต้องนำเข้าอะไรทั้งนั้น เราขายของรีเซลล้วน ๆ และมันก็ยังขายดีขึ้นทุกปี” เจ้าของร้านกล่าว
และแนวโน้มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับร้านเดียวด้วย
ตัวเลขจากองค์กร Conference Board of Canada ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแคนาดาลดลง 16% ในเดือนมีนาคม และรายงานจากธนาคาร RBC ยังบอกด้วยว่า ผู้คนเริ่ม “ลด ละ เลิก” การใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่คนไม่กล้าจับจ่ายในห้างใหญ่ ร้านมือสองที่ขายของราคาต่ำกว่า 20 ดอลลาร์กลับคึกคักขึ้น
สอดคล้องกับรายงานของ ThredUp เผยว่า 59% ของผู้บริโภคในสหรัฐคาดว่าภาษีจะทำให้เสื้อผ้าแพงขึ้น และพวกเขาจะหันไปหาทางเลือกที่ถูกกว่า เช่น เสื้อผ้ามือสอง
ในขณะเดียวกัน หุ้นของธุรกิจรีเซลในตลาดหุ้นก็พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ด้วยเช่นกัน
กลับมามองที่ไทยธุรกิจเสื้อผ้ามือสองกำลังโตเช่นเดียวกัน ซึ่งมาจากหลายเหตุผล อาทิ ราคาที่เอื้อมถึง ความเป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงไลฟ์สไตล์รักษ์โลก โดยเฉพาะจากกลุ่ม GenZ ที่นิยมซื้อของมือสองเป็นประจำมากขึ้น และมีแนวโน้มจะใช้จ่ายกับสินค้าแฟชั่นมือสองเพิ่มขึ้นด้วยในอนาคต
เช่นเดียวกับที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มมองว่าแฟชั่นมือสองไม่ใช่ของด้อยค่า แต่คือการ “แต่งตัวแบบฉลาด” และ “รักษ์โลกแบบมีสไตล์”
ข้อมูลจาก SCB EIC ระบุว่า ตลาดแฟชั่นมือสองของไทยมีมูลค่าราว 1,800 ล้านบาท และจะเติบโตปีละ 15% ต่อเนื่องจนถึงปี 2027
โดยคาดว่าจะแตะมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2027
เพราะอะไรแฟชั่นมือสองถึงมาแรง?
1. เข้าถึงแบรนด์ดังในราคาที่จับต้องได้
กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าแบรนด์เนม ที่เคยเกินเอื้อม กลายเป็นของที่ “เป็นไปได้”
2. คนรุ่นใหม่ต้องการ “ความยูนีค”
Gen Z ชอบมิกซ์แอนด์แมตช์ ไม่อยากเหมือนใคร เสื้อผ้ามือสองช่วยให้พวกเขาแต่งตัว “มีสไตล์” แบบไม่ต้องเสียเงินเยอะ
3. ตอบโจทย์ความยั่งยืน
การซื้อเสื้อผ้ามือสองช่วยลดขยะ ลดคาร์บอน ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ — นี่คือแฟชั่นแบบ “ไม่มีพิษ”
ขณะเดียวกันตอนนี้จะเห็นว่ายอดขายสินค้าแฟชั่นมือสองกำลังได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น IG, TikTok, Facebook Marketplace และแอปเฉพาะทาง
นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกออนไลน์และเจ้าของแบรนด์ใหญ่ก็ยังโดดลงมาเล่นตลาดรีเซลเองด้วย เช่น Zara, Lululemon, IKEA เป็นต้น
SCB EIC คาดว่าอีกไม่นาน การซื้อผ่านออนไลน์จะ “แซง” หน้าร้าน
แล้วตอนนี้กลุ่มผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าที่นิยมซื้อสินค้าแฟชั่นมือสอง คือกลุ่มไหนบ้าง คำตอบคือ
– กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ที่มองหาสินค้าราคาไม่แพง
– กลุ่มเน้นแบรนด์ ที่ตามหาของแท้มือสองคุณภาพดี เช่น กระเป๋า/รองเท้า
[ โอกาสของผู้ประกอบการไทยคืออะไร ]
นั่นก็คือเปิดร้านออนไลน์ที่ สร้างแบรนด์ของตัวเองไม่ใช่แค่โพสต์ขาย รวมทั้งคัดเลือกสินค้าอย่างมีรสนิยม เน้นคุณภาพ ไม่ใช่แค่ราคาถูก รวมทั้งสินค้าที่นำมาขายต้องเชื่อมโยงกับประเด็นสิ่งแวดล้อมและแฟชั่นเชิงคุณค่าด้วยนั่นเอง
แนวคิดแฟชั่นรีเซลจากนี้จะไม่ใช่แค่ของเก่า แต่คือโอกาสใหม่ท่ามกลางเศรษฐกิจที่อาจไม่สดใสนัก แต่ที่แน่นอนคือตลาดนี้ไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น แต่เป็นโมเดลอนาคตที่ยังไปได้อีกไกล เพราะผู้บริโภคจะมองหาทางเลือกที่ฉลาดขึ้น เข้าถึงได้ ถูกกว่า และยังดีต่อโลก










