ตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอาง หรือ เดอร์มาสกินแคร์ในประเทศไทยโตไวมาก นับตั้งแต่ช่วงหลังโควิดมาเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยน แต่ละคนจริงจังในการเลือกซื้อสกินแคร์มากขึ้น
เพราะผู้คนส่วนใหญ่มีความรู้ทางส่วนผสม ในระดับที่เข้าใจการใช้ส่วนผสมที่ปลอดภัย ทำให้ผิวแข็งแรง และที่สำคัญประสิทธิภาพต้องดี เห็นผลไว ทำให้ในปีที่แล้วตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอางมีมูลค่าสูงถึง 15,522 ล้านบาท เติบโตถึง 15%
ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแบรนด์ต่างประเทศที่เข้ามา และแบรนด์ไทยด้วยกันที่แข่งกันตามเทรนด์ ทำให้แบรนด์ไทยที่อยู่ในตลาดก็จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันผู้บริโภคที่มีตัวเลือกเยอะ เช่น Smooth E ที่ต้องหันมารีแบรนด์ ปรับภาพจำในรอบ 30 ปี เพื่อที่จะยังคงทนในตลาดนี้
[ ภาพจำเก่า Smooth E แค่อ่อนโยน แต่คนไม่ค่อยพูดถึงประสิทธิภาพ ]
‘ธนชัย ชัยกิตติวนิช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เล่าให้ฟังว่า “ปัจจุบัน Smooth E เป็น Medical Skincare ที่คนไทยรู้จักอยู่แล้วมาตลอด 30 ปี มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ราวๆ 9.7% แต่ภาพจำหลักๆ ของแบรนด์คือมีสินค้า เช่น โฟมไม่มีฟอง ครีมลดรอยแผลเป็น กันแดดไร้เคมี และผู้คนมักเข้าใจว่าแบรนด์ ‘แค่อ่อนโยน’ ทำให้แบรนด์อยากลบภาพจำเดิมๆ ที่แค่อ่อนโยนออกไป เพราะด้านประสิทธิภาพอื่นๆ ก็ดีไม่แพ้กัน
ประกอบกับปัจจุบันเทรนด์เปลี่ยนผู้บริโภคมีความเป็น Beauty Fighter ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมดี ปลอดภัยและที่สำคัญต้อง ‘เห็นผลไว’ รวมถึงผู้บริโภคเสพโซเชี่ยลทำให้มีความเข้าใจในการดูแลตัวเองที่มากขึ้น บางคนถึงขั้นดูแลตัวเอง 10 Step ตามวิธีที่ไวรัลในโลกออนไลน์ แต่อาจจะมากเกินจำเป็นไป
[ ทุ่ม 200 ล้านรีแบรนด์ใหม่ ดึง ‘หลิง-ออม ขยายตลาด’]
Smooth E จึงพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภค และทุ่ม 200 ล้านบาทเดินหน้า 3 กลยุทธ์หลักรุกตลาดเวชสำอาง คือ
1.) นำความเชี่ยวชาญตลอด 30 ปีมาออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์ลูกค้ามากขึ้น ออกนวัตกรรมสกินแคร์ที่เป็น The Right Solutions อ่อนโยนแต่เห็นผลจริงพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไทยที่มีผิวบอบบางทุกเจนอย่างลงตัว
2.) ตั้งเป้าให้คนรับรู้ว่ามีดีมากกว่าอ่อนโยน และผลิตภัณฑ์ครอบคลุมชีวิตประจำวันกว่า ด้วยการเปิดตัวสมูทอี คลินิกคัล เซรั่ม ตอกย้ำจุดยืน “อ่อนโยน…มีประสิทธิภาพเห็นผล” มี 4 สูตร ได้แก่ สูตรลดรอยสิว สูตรผิวกระจ่างใส สูตรลดริ้วรอย และสูตรเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผู้บริโภคดูแลผิวหน้าได้ง่ายๆ แค่ 3 Step ล้าง บำรุง และปกป้อง
3.) เน้นการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค กับกลุ่มคนทุกวัย เช่นการเลือก ‘หลิง-ออม’ มาเป็นมาเป็น นิวเฟซ ออฟ สมูทอี เนื่องจากหลิงเป็นคนที่มีเสน่ห์และมั่นใจ ส่วนออมก็มีความอ่อนโยนและสนุกสนาน หลิง-ออมจึงเป็นคู่ดาราที่สะท้อนจุดยืน “อ่อนโยน…มีประสิทธิภาพเห็นผล” ของสมูทอีได้อย่างลงตัว
โดยประเดิมด้วยกิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Meet The New Face of Smooth E พร้อมทั้งเราจะมีกิจกรรมการตลาดร่วมกับหลิง-ออม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคทุกกลุ่มตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวพรีเซนเตอร์อย่าง ‘หลิง-ออม’ แบรนดตั้งเป้าว่าจะช่วยขยายตลาดให้ไปต่างประเทศได้มากขึ้น ผ่านกลุ่มแฟนด้อมของทั้งคู่ ซึ่งเดิมทีแบรนด์ขยายอยู่ต่างประเทศบ้างแล้ว แต่ส่วนแบ่งยังไม่มากนัก การได้ ‘หลิง-ออม’ จะยิ่งช่วยสร้างการรับรู้ที่ดีขึ้นในการรับรู้ของแบรนด์
สำหรับปีที่ผ่านมา Smooth E กวาดรายได้ทั้งหมดราว 900 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท










