งามอย่างไทยนำเทรนด์ T-Beauty โตแรงในเอเชีย ‘ศรีจันทร์’ บุกตลาดต่างประเทศ

งามอย่างไทยนำเทรนด์ T-Beauty โตแรงในเอเชีย ‘ศรีจันทร์’ บุกตลาดต่างประเทศ

เทรนด์ T-Beauty หรือสินค้าผลิตภัณฑ์ด้านความงาม Made in Thailand กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคหลายประเทศในอาเซียนและเอเชีย วัดได้จากการเติบโตของตลาดที่ต่อเนื่องขึ้นทุกปี 

จากมุมมองของตลาดในอาเซียน และเอเชีย กลุ่มลูกค้ามองว่าสินค้าด้านความงามที่เป็นแบรนด์ไทยมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และราคาเข้าถึงได้

ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน คือการเติบโตของ T-Beauty  ไทยในประเทศญี่ปุ่น เกิดเทรนด์ที่เรียกว่า “สุวาอิ เมคุ” หมายถึง ‘การแต่งหน้าแบบไทย’ ผิวใช้รองพื้นแบบเนื้อกึ่งแมตต์ ปัดขนคิ้วให้ตั้งขึ้นเล็กน้อย โชว์ขนคิ้วที่เรียงตัวเป็นธรรมชาติ ตาใช้อายแชโดว์โทนธรรมชาติ กรีดอายไลน์เนอร์ และปัดขนตาล่างให้ยาว ปากใช้ลิปสติกเนื้อเซมิแมตต์ และปัดแก้มเป็นวงรี โดยใช้สีที่ดูสุขภาพดี

จากโทนแต่งหน้าแบบไทยแล้ว มาสู่อีกเทรนด์สำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของ T-Beauty คือ ผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับส่วนผสมมากขึ้น การตัดสินใจซื้อไม่ขึ้นกับโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงผลการทดสอบและเนื้อหาบนฉลากสินค้า 

ขณะที่ผู้บริโภคต่างชาติ โดยเฉพาะในลาวและญี่ปุ่น ก็เริ่มเปิดรับสินค้าที่ผลิตในไทย ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ “ต้องมีคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์สากล”

[ ศรีจันทร์ แบรนด์ไทยในกระแส T-Beauty ]

แบรนด์ไทยในตำนานอย่าง “ศรีจันทร์” ที่ถ้าให้นึกถึงเลกาซี่สมัยก่อนคือ โด่งดังในเรื่องแป้ง แต่ตอนนี้แบรนด์ได้ขยายพอร์ต แตกแบรนด์ลูกออกมาตอบรับตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ 

‘รวิศ หาญอุตสาหะ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด เล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาที่ทำให้ศรีจันทร์ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่ตอ้งปรับพอร์ตธุรกิจ คือ ช่วงโควิด-19 เราเดินไปบอกผู้ถือหุ้นว่าจะใช้เงินพัฒนาสินค้า โดยที่บริษัทเลือกลงทุนแตกไลน์สินค้าไปยังสกินแคร์ ด้วยสูตรใหม่ๆ และจริงจังเรื่อง R&D ก่อนจะขายผลิตภัณฑ์ออกตลาด

ทำให้แบรนด์เริ่มเข้าสู่ตลาดสกินแคร์ตั้งแต่ปี 2021 และในปี 2024 บริษัทเติบโตถึง 117% ในหมวดสกินแคร์เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยตอนนี้สามารถแบ่งสินค้าออกเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ เมคอัพ สกินแคร์ และครีมกันแดด 

‘รวิศ’ บอกว่า หลังจากแตกไลน์สินค้าก็เปลี่ยนภาพจำใหม่ให้กับแบรนด์ เพราะถ้าพูดกับคนรุ่นเก่าเขาก็จำศรีจันทร์ได้จากแป้ง แต่พอถามคนรุ่นใหม่ก็จำได้จากสกินแคร์ ส่งผลให้สัดส่วนรายได้ของแบรนด์เปลี่ยนจากเมคอัพเป็น “สกินแคร์” ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในพอร์ต โดยเฉพาะในปี 2567 กลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์เติบโต 79% เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดที่โตเพียง 3.4% (ข้อมูลจาก NielsenIQ)

นอกจากนี้ ศรีจันทร์ยังแตกไลน์แบรนด์ลูกอย่าง “sasi” ออกมาอีกด้วย เพื่อจับกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ และแบรนด์ก็เติบโตเฉลี่ยกว่า 50% ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับแบรนด์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่

[ แนวโน้มปี 2568 ตลาดสกินแคร์ในประเทศชะลอตัว ต่างประเทศคือโอกาส ]

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดในประเทศจะยังเติบโตได้ แต่การแข่งขันเริ่มรุนแรงขึ้นจากทั้งแบรนด์เกาหลี จีน และ Local Brand รายใหม่ ศรีจันทร์จึงวางกลยุทธ์เชิงรุกกับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมคล้ายคนไทย และตลาดญี่ปุ่นซึ่งให้ความสำคัญกับดีไซน์และคุณภาพแบบ craft-oriented

ศรีจันทร์จึงเริ่มขยายสู่ตลาดประเทศลาวด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 112.5% ระหว่างปี 2564–2567 ผ่านการสนับสนุนเวที Miss Universe Laos และ Laos Fashion Week พร้อมใช้พรีเซ็นเตอร์ชื่อดัง “Nethdao” ช่วยสร้างแบรนด์

ขณะที่ในญี่ปุ่น แบรนด์ศรีจันทร์มีวางจำหน่ายแล้วกว่า 2,000 ร้าน พร้อมร่วมมือกับ BANDAI ผลิต “กาชาปองแป้งศรีจันทร์” ตอกย้ำเอกลักษณ์แบรนด์ไทยที่เข้าถึงใจคนญี่ปุ่น

[ 4 กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ศรีจันทร์ ] 

‘รวิศ’ ยังเล่าให้ฟังถึงกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ศรีจันทร์ให้ฟังอีกว่ามีหลักๆ อยู่ 4 กลยุทธ์ นั่นก็คือ

        • Modern Classic Thainess รักษาอัตลักษณ์แบบไทยร่วมสมัยไว้ในชื่อและดีไซน์สินค้า เช่น “SRICHAND BANGKOK 1948”
        • เลือกพรีเซ็นเตอร์ไทยร่วมสมัย  เช่น ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก, แบมแบม กันต์พิมุกต์ และศิลปินวง PROXIE (ปีนี้ใช้งบการตลาดมากกว่า 100 ล้านบาท)
        • พัฒนาสูตรเทียบเคียงแบรนด์ระดับโลก ใช้สาร Active ใหม่ๆ เช่น Glyceryl Glucoside และเทคโนโลยี Hybrid Foundation
        • สร้างวัฒนธรรมองค์กรเพื่อคนรุ่นใหม่ ส่งเสริม Resilience, การลางานอย่างเท่าเทียม, และความรับผิดชอบร่วมกัน

สำหรับยอดขายรวมของบริษัท ศรีจันทร์ สหโอสถ จำกัด หลังจากขยายพอร์ตสู่สกินแคร์ และแตกแบรนด์ใหม่มีการเติบโตมากกว่า 10% ทุกปี 

        • ยอดขายปี 2021 คือ 520 ล้านบาท
        • ยอดขายปี 2022 คือ 717 ล้านบาท (+42.02%)
        • ยอดขายปี 2023 คือ 1,019 ล้านบาท (+41.92%)
        • ยอดขายปี 2024 คือ 1,600 ล้านบาท (+58.98%)

รายได้รวมมาจากช่องทางการจำหน่ายแบบออฟไลน์ 90% และออนไลน์ 10% เป้าการเติบโตในปีนี้ “ศรีจันทร์” ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 30% – 40% ส่วนเรื่องของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังอยู่ในช่วงเตรียมพร้อมอยู่ แต่ ‘รวิศ’ บอกว่า ด้วยสถานการณ์ตลาดหุ้นตอนนี้ อาจจะมองๆ เรื่องนี้ไปก่อน 

AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง