งานวิจัยล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาระบุว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้โลกร้อนส่วนใหญ่ นับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงการบันทึกถึงปี 2565 มีสาเหตุมาจากกลุ่มผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลและซีเมนต์ 57 ราย
ตามรายงานของ Carbon Majors โดย InfluenceMap ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ระบุว่าบริษัทเหล่านี้ทั้งของรัฐ และเอกชน เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯในโลกถึง 80%
ในรายงานได้เปิดเผยถึงบริษัทที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ 3 อันดับแรกของโลกในช่วงปีดังกล่าว ได้แก่
1.Saudi Aramco บริษัทน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย
2.Gazprom บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย
3.Coal India บริษัทผู้ผลิตถ่านหินอินเดียที่รัฐเป็นเจ้าของ

รอยเตอร์ระบุว่าบริษัทที่ถูกระบุถึงปฏิเสธไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้กับสื่อ
InfluenceMap กล่าวว่า การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ กลุ่มเล็กๆ นี้ควรต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะต้องเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับรัฐบาลและบริษัทต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานพบว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการทำโลกร้อนได้ขยายการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลมาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่เกือบทุกประเทศลงนามในข้อตกลงปารีสเรื่องการควบคุมจำกัดไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งสูงขึ้น ซึ่งตั้งแต่ข้อตกลงปารีสตอนนั้น รัฐบาลและบริษัทหลายแห่งทั่วโลกได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดขึ้นและขยายเรื่องพลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลในบางประเทศและบริษัทหลายแห่งก็ยังผลิตและใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้นส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ลดลงตามข้อตกลงปารีส แต่กลับเพิ่มขึ้น
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) ระบุว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลกได้ทำสถิติสูงสุดไปในปีที่แล้วด้วย
รายงานข้อมูลว่าธุรกิจบริษัทใดสร้างมลพิษให้โลกเคยถูกนำไปใช้ในการยื่นฟ้องร้องมาแล้ว ซึ่งฐานข้อมูล Carbon Majors ฉบับก่อนหน้าปัจจุบันเคยถูกนำมาอ้างถึงในคดีทางกฎหมาย ที่เกษตรกรชาวเบลเยียมฟ้องร้องบริษัท TotalEnergies บริษัทน้ำมันและก๊าซของฝรั่งเศส โดยเกษตรกรรายนี้ใช้ฐานข้อมูลนี้ขึ้นมาโต้แย้งว่าบริษัทแห่งนี้เป็นหนึ่งในบริษัทที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ 20 อันดับแรกของโลก ดังนั้นควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อความเสียหายจากการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น
Daan Van Acker ผู้จัดการโครงการ InfluenceMap ที่ทำรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า
ข้อมูลจากรายงานสามารถใช้ได้ในหลายกรณี ตั้งแต่กระบวนการทางกฎหมายที่ต้องการควบคุมผู้ผลิตเหล่านี้ให้รับผิดชอบต่อความเสียหายต่อสภาพภูมิอากาศ หรือนักวิชาการสามารถนำมาใช้ในการวัดปริมาณการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของบริษัทเหล่านี้ รวมไปถึงนักลงทุนก็นำมาพิจารณาประกอบการลงทุนได้
ฐานข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ได้รวบรวมจากข้อมูลที่บริษัทต่างๆ รายงานด้วยตัวเองเกี่ยวกับการผลิตถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ รวมเข้ากับแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกา สมาคมเหมืองแร่แห่งชาติ และข้อมูลอุตสาหกรรมอื่นๆ
อ้างอิง










