ผลสำรวจของศูนย์ยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา (CSIS) จากสหรัฐฯ พบว่า บริษัทสัญชาติไต้หวัน เกิน 1 ใน 4 มีความกังวลต่อการพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป จึงย้ายการผลิตบางส่วนออกจากจีน โดยส่วนมากย้ายไปอาเซียน และอีกส่วนหนึ่งย้ายกลับประเทศตนเอง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มแรงกดดันทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารต่อไต้หวัน โดยจีนมีคำสั่งห้ามการนำเข้าจากไต้หวันและเปิดตัวการฝึกซ้อมทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
CSIS ได้ทำการสำรวจในช่วงปลายเดือน ก.ค. ก่อนการเยือนของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แนนซี เปโลซี ที่ไทเป จากการสอบถามผู้บริหารบริษัทไต้หวันกว่า 500 รายพบว่า จำนวนกว่า 3 ใน 4 (76.3%) คิดว่าไต้หวันจำเป็นต้องลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจจีนลง
บริษัทไต้หวันเกิน 1 ใน 4 (25.7%) ระบุว่า ปัจจุบันได้ย้ายการผลิตหรือการพึ่งพาวัตถุดิบบางส่วนออกจากประเทศจีนแล้ว และบริษัท 1 ใน 3 ระบุว่ากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่
ที่น่าสนใจคือ บริษัทที่กำลังย้ายฐานการผลิต ส่วนใหญ่ (63.1%) ระบุว่า กำลังย้ายไปประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเกือบครึ่งระบุว่าจะย้ายกลับไปไต้หวัน
โดยก่อนหน้านี้ ในปี 2559 ประธานาธิบดีไช่ อิง เหวิน ได้เปิดตัวนโยบายต่างประเทศที่เรียกว่า นโยบายมุ่งใต้ใหม่ (NSP) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไต้หวันกำลังมุ่งเข้าหาประเทศเพื่อนบ้านและพันธมิตรประเทศเอเชียที่อยู่ทางใต้ของไต้หวัน และกระจายตัวออกจากตลาดจีน
ความคิดริเริ่มของไช่ อิง เหวิน นั้นให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน การค้า และการลงทุนของไต้หวันกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่นๆ
Chen Kuan-ting ซีอีโอของมูลนิธิ Taiwan NextGen Foundation กล่าวว่า NSP ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่ใหญ่สำหรับไต้หวัน ซึ่งนักลงทุนชาวไต้หวันพยายามสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไต้หวันยังกล่าวใน Yushan Forum ซึ่งเป็นการเจรจาระดับภูมิภาคที่จัดโดยมูลนิธิแลกเปลี่ยนไต้หวัน-เอเชียในเมืองไทเปว่า บริษัทไต้หวันได้เพิ่มการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอัตรามหาศาล
โดยตั้งแต่เดือน ม.ค. – ก.ค. ที่ผ่านมา การลงทุนจากไต้หวันใน 18 ประเทศ NSP มีจำนวนเกิน 2.2 พันล้านดอลลาร์แล้ว คิดเป็น 43.9% ของการลงทุนภายนอกทั้งหมดของไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจของบริษัทไต้หวันต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะประชาธิปไตยกำลังถอยหลังกลับในหลายๆ ประเทศ ตั้งแต่กัมพูชาไปจนถึงเมียนมาร์
นั่นแปลว่าประเทศเหล่านี้มีการแนวโน้มไปทางระบอบเผด็จการมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ขัดต่อผลประโยชน์ของไต้หวัน
CSIS สรุปว่า จีนจำเป็นต้องพยายามหยุดวิกฤตความเชื่อมั่นนี้ และไต้หวันต้องหาจุดสมดุลระหว่างการกระจายความเสี่ยงออกจากจีน
นอกจากนี้ยังแนะนำว่า ไต้หวันจำเป็นต้องเพิ่มการสนับสนุนในด้านการวิจัยและพัฒนา การศึกษา พลังงาน และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ช่วยให้บริษัทไต้หวันสามารถแข่งขันในระดับสากลได้มากขึ้นในอนาคต
ที่มา :










