จากกรณีข้อพิพาทบนโซเชียลมีเดียกับพาร์ทเนอร์รายหนึ่งในจังหวัดเชียงรายของร้านโชห่วยในเครือ ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ เกี่ยวกับประเด็นการยกเลิกสัญญา โดย ‘เสถียร เสถียรธรรมะ’ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ได้ชี้แจงว่า
ข้อ 1 บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เปิดดำเนินการในปี 2561 สร้างแบรนด์ ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ โมเดลร้านโชห่วยที่ปัจจุบันมีร้านค้าพาร์ทเนอร์กว่า 5,000 ร้านค้า เพื่อบริษัทต้องการแก้ปัญหาร้านโชห่วยส่วนใหญ่ในประเทศที่มีทุนในการซื้อสินค้าจำกัด โดยภายใต้ข้อตกลงร่วมกัน 2 ฝ่าย
ฝั่ง ‘ทีดี ตะวันแดง’ จะลงทุน ‘สินค้า-อุปกรณ์’ ทั้งหมดภายในร้าน ได้แก่ ชั้นวางสินค้า ตู้เย็น เครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ป้ายสินค้า กล้องวงจรปิด และระบบในร้าน รวมมูลค่าต่อร้านค้าเกือบ 1 ล้านบาท
ฝั่ง ‘พาร์ทเนอร์’ จะลงทุน ‘ปรับปรุงร้านค้า’ และ ‘เงินค้ำประกัน 2 แสน’ พร้อมรับทราบว่า สินค้า-อุปกรณ์ในร้านค้าเป็น ‘กรรมสิทธิ์’ ของบริษัท
เมื่อขายสินค้าได้ ‘พาร์ทเนอร์’ จะต้องนำส่ง ‘รายได้’ จากการขายสินค้าให้บริษัทในวันทำการถัดไป + ยินยอมให้เข้าไปนับสต๊อกสินค้าและพาร์ทเนอร์ต้องรับผิดชอบหากสูญหาย
หาก ‘พาร์ทเนอร์’ ไม่ส่งรายได้ บริษัทจะทวงถาม
ถ้าเกิน 3 วัน บริษัทจะหยุดส่งสินค้า
ถ้าเกิน 4 วัน บริษัทจะส่งจดหมายแจ้งเตือนให้ชำระใน 3 วันทำการ
หากไม่มีการชำระ บริษัทจะยกเลิกสัญญาทันทีและนัดเข้าขนย้ายอุปกรณ์-สินค้าออกจากร้านค้า
ข้อ 2 กรณีร้านค้าพาร์ทเนอร์จังหวัดเชียงรายที่มีข้อพิพาททางโซเชียลมีเดียในช่วงที่ผ่าน ร้านได้เปิดร้านกับ ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ตั้งแต่ 14 ส.ค. 2565 ระหว่างนั้น ‘พาร์ทเนอร์’ โอนเงินล่าช้ามากกว่า 80 ครั้งจาก 130 ครั้ง
และในเดือน พ.ย. ทีมนับสต๊อกพบมีสินค้าสูญหายกว่าส่วนแบ่งรายได้ บริษัทจึงนำรายได้ของร้านมาหักชำระค่าสินค้าสูญหายก่อน โดยไม่พอชำระ ทำให้ไม่มีรายได้ ‘พาร์ทเนอร์’ เหลือโอนไปให้ในวันที่ 7 ธ.ค. 2565
ข้อ 3 ก่อนบริษัทจะส่งหนังสือทวงถามการชำระเงินในวันที่ 6-14 ธ.ค. และกำหนดให้มาชำระภายใน 3 วัน เมื่อถึงกำหนดชำระและบริษัทไม่ได้รับเงินดังกล่าว จึงได้ออกจดหมายในวันที่ 22 ธ.ค. เพื่อแจ้งยกเลิกสัญญา และกำหนดเข้าปิดร้านในวันที่ 26 ธ.ค.
ต่อมาวันที่ 25 ธ.ค. เวลา 20.49 น. ทาง ‘พาร์ทเนอร์’ ได้ยอดเงินค้างชำระมาให้กับบริษัท “แต่การชำระเลยกำหนดที่บริษัทกับร้านค้าไปแล้ว” บริษัทจึงยืนยันปิดร้านตามนัดหมาย
แต่ไม่สามารถเข้าไปเก็บทรัพย์สินของบริษัทออกมาจากร้านได้ เพราะ ‘พาร์ทเนอร์’ ไม่อนุญาตให้พนักงานของบริษัทเข้าไปในร้าน ก่อนพยายามนัดอีกครั้งในวันที่ 17 ม.ค. 2566 แต่ขนย้ายไม่สำเร็จอีกครั้ง ไม่สามารถขนสินค้า-ทรัพย์สินของบริษัทออกมาได้
ทำให้บริษัทจำเป็นต้องแจ้งความข้อหา ‘ยักยอก’ พร้อมพยานหลักฐาน โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้ดำเนินการรายนี้แล้ว
ข้อ 3 นอกจากนั้น อีกกรณี คือ ‘ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘สมฤดี สุขสมหวัง’ ลงข้อความโจมตีบริษัทให้เสื่อมเสียชื่อเสียงมาตลอด ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา บุคคลนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท ไม่เคยเป็นพาร์ทเนอร์ถูกดี และข้อความที่ปรากฏอยู่บนเฟซบุ๊กไม่เป็นความจริง
โดยบริษัทได้ทำการแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทฯ และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไปแล้วถึง 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพจอวตาร มีการนำรูปบุคคลอื่นมาเป็นรูปโปรไฟล์ของตนเอง และกระจายข่าวอันเป็นเท็จ เพื่อทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสีย บริษัทจึงขอให้ทุกท่านอย่าหลงเชื่อกับข้อความอันเป็นเท็จของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้
สุดท้ายนี้บริษัทขอยืนยันว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจกับผู้ดำเนินการร้านค้าจำนวนมาก จึงต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหลักการที่บริษัทฯ ยึดถือมาตลอดการทำธุรกิจ










