“หนานุ่ม บางกรอบ ขอบชีส” 3 สิ่งนี้ คือ สูตรสำเร็จของ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จนทำให้ปัจจุบันในตลาดพิซซ่ามูลค่าเกินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ครองส่วนแบ่งสูงกว่า 70% ของตลาด
TODAY Bizview ชวนอ่านสรุปสถานการณ์ของแบรนด์หลังโควิด-19 และเปิดเหตุผลว่าทำไม ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ถึงต้องต่อยอดสู่นวัตกรรมใหม่ๆ อย่าง ‘บางนุ่ม’ ที่จะกลายมาเป็นแป้งถาวรของแบรนด์แล้ว
ก่อนหน้านี้ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ก็เหมือนกับ ‘ร้านอาหาร’ หลายๆ แบรนด์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันโควิด-19 ก่อนจะเข้าสู่ช่วงผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ที่ธุรกิจสามารถกลับมาเดินตามปกติได้อีกครั้งและธุรกิจของ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ กลับมาดำเนินตามปกติ
โดยธุรกิจของ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ในช่วงหลังโควิด-19 พบว่า
– ฝั่งเดลิเวอรี่และซื้อกลับบ้าน เติบโต 30%
– ฝั่งไดน์อิน (ทานในร้าน) เติบโต 50%
– ยอดขายต่อสาขา 500-600 ล้านบาทต่อเดือน
– ยอดซื้อเฉลี่ย 500-550 บาทต่อรายการ
– สาขาในเมืองท่องเที่ยวกลับมาเติบโตกว่า 80% เทียบกับช่วงก่อนเปิดเมือง
– ปัจจุบันมี 420 สาขาใน 75 จังหวัด (ไม่มีสาขาในแม่ฮ่องสอน)
ขณะที่เป้าหมายปี 2022 คือ รักษาการเติบโตของแบรนด์ให้ได้ 30% ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมากและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ต้องพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เสมอ
ที่ผ่านมาสูตรสำเร็จของการเป็นผู้นำตลาดของ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ คือ “หนานุ่ม บางกรอบ ขอบชีส” โดยสัดส่วนพิซซ่าที่ขายไปในแต่ละปี คิดเป็น พิซซ่าแป้งหนานุ่ม 50% พิซซ่าแป้งบางกรอบ 30% และพิซซ่าขอบชีสอีก 20%
โดย ‘พิซซ่าแป้งหนานุ่ม’ ได้รับความนิยมจากคนไทยมาก ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคอายุน้อยและผู้บริโภคในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ชอบในความอิ่มคุ้ม หนานุ่ม ที่เป็นลักษณะพิเศษของพิซซ่าแป้งนี้
ด้าน ‘พิซซ่าแป้งบางกรอบ’ จะได้รับความนิยมในกลุ่มที่อายุขยับขึ้นมาจากแป้งหนานุ่ม อยากได้แป้งบางหน่อย ดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่วน ‘พิซซ่าขอบชีส’ เองก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากเพลนพ้อยท์ที่พบว่า ลูกค้าหลายๆ คนไม่กินขอบนั่นเอง
แม้สูตรสำเร็จนี้จะทำให้ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ครองพื้นที่ในใจของคนรักพิซซ่ามาโดยตลอด แต่ในขณะเดียวกัน เพื่อให้สามารถทำตามเป้าหมายรักษาการเติบโต 30% ในปีนี้
รวมถึงดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มที่ชอบทดลองสินค้าใหม่ๆ ที่มีจำนวนกว่า 25% ที่มักจะกลับมาสั่งสินค้าใหม่ๆ ไปทดลองเสมอ ทำให้ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ มองหาโอกาสออกสินค้าใหม่รับเดือน ธ.ค. ที่เป็นช่วงที่ขายดีที่สุด รองจากช่วงซื้อ 1 แถม 1
และเพราะหลังจากออกสินค้าในกลุ่ม ‘นิวยอร์กพิซซ่า’ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ ค้นพบว่า ยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่ชอบพิซซ่าแป้งแบบที่เรียกว่า ‘บางนุ่ม’ หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า ‘แป้งนิวยอร์กบางนุ่ม’
‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ จึงได้ตัดสินใจปรับสูตรพิซซ่าแป้งนิวยอร์กให้ดีขึ้นกว่าเดิม และออกสินค้าใหม่อย่าง ‘พิซซ่าแป้งนิวยอร์กบางนุ่ม’ ให้กลายเป็น ‘แป้งถาวร’ อีกหนึ่งตัวของแบรนด์ ไม่ใช่แค่สินค้าเฉพาะเทศกาลอีกต่อไป
โดย ‘พิซซ่าแป้งนิวยอร์กบางนุ่ม’ นั้นพร้อมขายในขนาดทั้ง 18 นิ้ว และ12 นิ้ว (ขนาดใหม่ของพิซซ่าแป้งนิวยอร์ก เพื่อให้สามารถขนส่งได้) ใน 3 หน้าใหม่ ได้แก่ พิซซ่าหน้ากริลล์ฮาวายเอี้ยน พิซซ่าหน้าไส้กรอกและชีส และพิซซ่าหน้าซีฟู้ดซาวครีม
เป้าหมายของพิซซ่าแป้ง ‘บางนุ่ม’ คือ ผลักดันยอดขายในเดือน ธ.ค. ให้เติบโต 15-20%
ส่วนในปี 2023 เป้าหมายของ ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ คือ
– ขยายสาขาเพิ่มอีก 30-50 สาขาในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัดเท่าๆ กัน
– เน้นโลเคชันชุมชน ศูนย์การค้า ปั๊มน้ำมันเหมือนเดิม ในขนาดพื้นที่ที่เล็กลง
– เน้นพื้นที่เมืองรองและอำเภอรองมากขึ้น
– เพิ่มสินค้าในกลุ่มซื้อกลับบ้าน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการได้บ่อยขึ้น
– ขยายการเติบโตจากช่องทาง ‘เว็บไซต์’ และ ‘แอปพลิเคชัน’
“มูลค่าตลาดพิซซ่าในปัจจุบันน่าจะเกิน 1 หมื่นล้านไปแล้ว เพราะตลาดพิซซ่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาในตลาดเรื่อยๆ รวมถึงพิซซ่าในสไตล์โฮมเมดที่เติบโตมากขึ้น คาดว่าช่วงปลายปีจะทำให้ยอดขายผ่านช่องทางไดน์อินเพิ่มขึ้น 25% และคาดว่ารายได้โดยรวมตลอดทั้งปี 2565 มีแนวโน้มเติบโตตามเป้าที่วางไว้” ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว










