เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ใช่ไหมครับว่า ไม่มีองค์กรหรือใครคนไหนหรอกที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ มันต้องมีอะไรที่ทั้งได้อย่างใจและขัดใจคนในองค์กร
ซึ่งผมเองเห็นด้วยนะครับ เพราะจากประสบการณ์ทำงานมาเกือบ 20 ปี มันไม่มีอะไรที่ดีพร้อมไปเสียทุกอย่างจริงๆ บางอย่างในบางองค์กร เราก็ชอบมาก และบางอย่างเราก็ไม่ชอบเอาเสียเลย เพียงแต่ว่าความชอบและไม่ชอบนี้มันถูกเอามาชั่งตวงวัด ในภาพรวมถ้าเรายังอยู่ได้ มีความสุขมากกว่าความทรมาน เราก็อยู่ได้
แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้บางองค์กรจะมีเรื่องที่หลายคนมองว่าไม่ดี ไม่ถูกใจขนาดไหน มันก็ต้องไม่ถึงขั้น ‘เป็นพิษ’ ใช่ไหมครับ
ไอ้คำว่า ‘เป็นพิษ’ ที่ผมพูดถึงนี้ ก็คงแทบไม่ต้องจะมานั่งให้นิยามกัน เพราะอะไรที่เป็นพิษในองค์กรของเรา เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะมันจะเป็นกระแสความร้อนรน ที่แพร่กระจายอยู่ตามหย่อมหญ้าต่างๆ ตั้งแต่วิธีการทำงาน การสื่อสาร กระบวนการ ลามไปจนถึงการนินทากันในห้องน้ำ หรือห้อง Pantry
หลายๆ คนที่ไม่คิดอะไรมาก และไม่ได้พยายามค้นหาต้นตอของปัญหาที่เจออยู่ ก็อาจจะไม่เจ็บปวดมาก เพราะก็มองเป็นเรื่องที่ต้องแก้เป็นวันๆ ไป แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าถ้าคุณอยู่ใน mode นี้ ก็ต้องอาศัยความถึกเข้าสู้กับแทบทุกงานในทุกๆ วัน
เพราะปัญหาใหญ่ที่เป็นต้นตอ มันไม่เคยถูกขุดขึ้นมาสะสาง ปัญหาผิวๆ ที่แก้ๆ กันอยู่ ก็แค่ปลายทาง หรือ ผิวหน้า
แต่ถ้าใครอยากลองขุดค้นดูว่าจริงๆ แล้วรากของปัญหาที่เราเจอในทุกวันนี้ มันมีอยู่ และกำลังเกิดขึ้นในองค์กรของเราไหม อยากให้ลองตั้งสติ พิจารณาดูดีๆ แล้วมองด้วยใจเป็นกลาง ไม่ว่าคุณกำลังอยู่ในตำแหน่งไหนขององค์กร อย่าเพิ่ง Defensive หรือปกป้องตนเองกินปูนร้อนท้องเอาไว้ก่อน หรือรีบโยนปัญหาออกจากตัว และมองว่าเรานี้คือผู้ถูกกระทำทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณเองก็จะไม่ได้หาทางออกให้ตนเอง ให้ทีมงานและองค์กรเลย และต่อไปนี้คืออาการหลักๆ ของความเป็นพิษที่คุณต้องสังเกตอย่างดีครับ
[ ระดับตัวท็อปกล้าตัดสินใจและมี Direction ที่ชัดเจนไหม หรือปล่อยให้ระดับล่างวิ่งกันหัวหมุน ]
สถานการณ์นี้เหมือนกับเกมเกมนึงที่ผมเคยเล่นตอนไป outing กับบริษัทเก่า กฎของเกมก็คือ คนในทีมทุกคนมีหน้าที่เอาลูกโป่งไปให้หัวหน้าทีม ห้ามพูดอะไรกันทั้งสิ้น ทำได้เพียงยื่นลูกโป่ง 1 ลูกให้หัวหน้าทีม เวียนไปเรื่อยๆ
ลูกโป่งใบไหนที่ไม่สเปกไม่ตรงกับที่โจทย์กำหนดไว้ (หัวหน้ารู้คนเดียว) หัวหน้าต้องเจาะลูกโป่งนั้นทิ้งทันที แล้วให้คนถัดไปวิ่งเอาลูกโป่งใบใหม่มาเสนอ วนไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะได้เจอลูกโป่งใบที่ถูกต้องตามวางไว้ ทั้งสี ขนาด ลวดลาย
ลองคิดดูครับ ถ้าองค์กรเราเป็นแบบนี้ แล้วสิ่งที่ต้องส่งมอบให้ระดับท็อปมันไม่ใช่ลูกโป่ง แต่คือ ‘งาน’ ที่ต้องผ่านการเตรียมการ หยาดเหงื่อ และความคิด แล้วก็ต้องเดาใจกันไปแบบนี้เรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานๆ และ สิ่งที่ทำมาทั้งหมด ก็ทั้งสูญและศูนย์ มันจะเกิดอะไรขึ้น
คนทำงานก็ล้า คนเก่งๆ ย่อมลาออก เพราะเขาจะอยู่เป็นตาบอดคลำช้างแบบนี้ไปทำไมเรื่อยๆ ให้ช้างเหยียบครับ ผลของงานก็ย่อมเกิดช้า เพราะกว่าจะเห็นปลายทางว่าจะคลำเจอทาง ก็ผ่านไปแล้วนานแสนนาน จนเกิดเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่ต้องเดาใจ ยืดย้วย ไร้ทิศทาง และมืดบอด และก็จะวกกลับมาที่คำถามที่ว่า คนทำงานดีๆ…เขาจะทนอยู่เพื่อ?
[ อาการที่สอง สมดุลระหว่างฝ่ายหาเงินเข้าองค์กร กับฝ่ายที่เป็นหลังบ้านหายไป ]
พูดให้สั้นและง่าย คือ อำนาจ หรือระดับความเข้มข้นไปอยู่ตรงไหนมากเป็นพิเศษก็ไม่ดีทั้งนั้นครับ ผมเคยเห็นมาแล้วกับบางองค์กรที่เน้นสร้างกำไรแบบไม่สนใจการกำกับดูแลหลังบ้าน
ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผลสุดท้าย เละ! เพราะมีรูรั่ว ข้อผิดพลาด ฝืนกฎ ผิดระเบียบเต็มไปหมด ร้ายที่สุดคือ นำไปสู่การทุจริต ผิดกฎหมาย คนดูแลกฎเป็นเพียงเสือกระดาษที่โดนคนหาเงินบูลลี่ว่าไร้น้ำยาและไร้ค่า
อีกแบบคือ ทีมหลังบ้าน หรือแผนกผู้คุมกฎทั้งหลายอย่างเช่น HR Finance Accounting Audit และอื่นๆ เข้มแข็งมาก คุมจนหน้าบ้านหรือคนในองค์กรจนขยับไปทำอะไรไม่ได้ จะออกไปขายของก็ติดกับระเบียบนั่นนี่
บางทีก็มาในรูปแบบของการคุมกำลังคน ควบคุมการใช้เงิน สร้างกระบวนการที่ยากเย็นเพียงเพื่อให้แผนกของตนเองสบายใจ และงานของตัวเองปลอดภัย แต่ไม่ได้สร้างสมดุลที่ดีให้กับธุรกิจในภาพรวมเลย
อาการนี้คนภายในจะตึงเครียด เกิดความไม่ชอบขี้หน้ากันระหว่างคนสร้างเม็ดเงินกับคนคุมกฎ เกิดความเสียเวลา เปลืองพลังงานในการยียวนกวนประสาทกันแบบไม่จำเป็น เพราะ Trust หรือความไว้เนื้อเชื่อใจมันตกลง
และเรื่องนี้ หนังสือ Speed of trust เขียนไว้ชัดเจนมากครับ ว่าเมื่อ Trust is low…Cost is high โดย Cost ในที่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันคือความพยายาม แรงกาย และใจที่ต้องใส่เข้าไป เวลาที่ต้องเสียเพิ่มขึ้น
แล้วมีใครบ้างครับที่อยากพบว่า เดินเข้ามาที่ทำงานแล้วเหมือนมีอะไรมาผูกมัด บีบรัดกันเต็มตัวไปหมด แน่นอน อะไรที่กฎมันเข้มแข็งมากเกินไป คนก็พร้อมจะทิ้งทุกอย่าง ไม่ทำอะไร แล้วกินเงินเดือนไปวันๆ เพราะออกแรงแล้วมันท้อ หรือไม่งั้นก็โบกมือลากันไปตามระเบียบ เพราะทนมลพิษทางวัฒนธรรมนี้ไม่ไหว
ถ้าเห็นอาการแบบนี้ ไม่ว่าจะมิติคนหน้าตังค์ที่อยู่หน้าบ้านยิ่งใหญ่ หรือทีมงานหลังบ้านคุมกฎเข้ม ยังไงก็ไม่รอดในระยะยาวครับ ฝีเม็ดนี้จะต้องระเบิดขึ้นสักวัน หลังจากที่อักเสบมานาน
[ อาการสุดท้าย เมื่อบริษัทพูดถึงเรื่องคน ‘คน’ ถูกคำนวณเป็นตัวเลขและต้นทุนไปเสียหมด ]
ผมไม่ได้โลกสวยนะครับ และไม่ได้พยายามมารณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนให้มงลงอะไรขนาดนั้น และเข้าใจดีว่า คนคือส่วนที่เป็นต้นทุนขนาดใหญ่ขององค์กรแทบทุกองค์กร การมองภาพรวมโดยมองเอาเรื่องคนไปอยู่ใน Balance sheet จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำและทำได้
แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า ก็คนนี่แหละ ที่สร้างเม็ดเงินและกำไร และที่สำคัญ เรื่องคนมีอีกหลายมิติที่ต้องมองมากกว่าการถูกตีค่าเป็นเรื่องต้นทุนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น การเติบโตเคียงคู่ไปกับบริษัท (Growth and development) การมีสุขภาพที่ดีทั้งกายใจเพื่อทำงานให้องค์กร (Well being) และอื่นๆ เพียงแค่องค์กรนั้นจะหันมาให้ความสำคัญ
ทว่า ถ้าองค์กรของคุณกำลังเกิดวัฒนธรรม ‘ตัวเลขเข้าสิง’ ในมิติเรื่องคนอย่างบ้าคลั่ง และทิ้งเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับคน
ให้ทราบทันทีครับว่า องค์กรกำลังเดินหน้าเข้าสู่สภาวะไม่ปกติ อาจจะกำลังเดินเข้าสู่ mode ความไม่มั่นคง มองคนเป็นเครื่องจักรที่มีหน้าที่สร้างเม็ดเงินและเป็นต้นทุนที่ต้องบริหารจัดการให้คุ้มที่สุด จนขาดมุมมองที่มองคนเป็นมนุษย์
ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ เตรียมตัว ปรับตัว และมองหาทางหนีทีไล่เอาไว้ครับ เพราะอีกไม่นาน ความเป็นพิษจะบังเกิดในวัฒนธรรมการทำงาน คนจะไม่ได้ถูกมองเป็นคน งานพัฒนาหรือสร้างสรรค์เกี่ยวกับคนจะเริ่มลดลงเพราะมันมากับค่าใช้จ่าย
ทีนี้ อะไรๆ ที่ต้องทำให้คนได้เติบโต หรือมีความสุขในการทำงานจะเริ่มเป็นหมัน แล้วมาจบลงที่ว่า คนมาทำงาน เพราะมาขายวิญญาณแลกเงิน
ถ้าหนึ่งในอาการทั้งสามนี้เริ่มบังเกิดในความเห็นของคุณ หรือส่อแววในแผนก แนะนำว่าลองสอดส่องดูที่ทีมงานบ้านอื่นๆ ด้วยครับว่ามันมีอาการหรือเสียงโอดครวญเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยไหม และมีเหตุมีผลไหม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเกินไป
แต่ถ้ามันชัด และในบางองค์กรเกิดอาการมากกว่า 1 อย่างตามที่ได้เล่ามา จงอย่ามองว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติครับ ลองพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้เพื่อกลั่นกรองความคิดเรา และดูว่าเราทำอะไรได้บ้างเพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น
แต่ถ้ามันทำอะไรไม่ได้และพิษนี้มันกำลังกัดกินเรา…จงจำไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ครับ










