ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากหลายประเทศ ‘ญี่ปุ่น’ พันธมิตรเก่าแก่คือหนึ่งในนั้น จากเดิมอยู่ที่ 2.5% ขยับขึ้นเป็น 27.5% ก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้อีกครั้ง โดยยอมปรับลดภาษีให้ญี่ปุ่นเหลือ 15% ตั้งแต่ 16 กันยายนที่ผ่านมา
ประธานาธิบดี มักอ้างเหตุผลเรื่อง ‘ความมั่นคงแห่งชาติ’ หลายต่อหลายครั้ง สำหรับการขยับขึ้นภาษีนำเข้าในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมไปถึงเมื่อวานนี้ (29 กันยายน) ที่ได้ประกาศเตรียมจะจัดเก็บภาษี 100% ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่ไปถ่ายทำนอกประเทศสหรัฐฯ ด้วย แต่ยังไม่ได้ระบุวันบังคับใช้
คำถามก็คือ ทำไมสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าแต่แบรนด์ TOYOTA รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นผู้ผลิตและส่งออกอันดับหนึ่งของโลก กลับส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นในตลาดนี้มากกว่า 13.6% ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
Nikkei Asian Review รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ TOYOTA เฉพาะเดือนสิงหาคม ทุบสถิติใหม่สวนกระแสการปรับขึ้นอัตราภาษีการนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยตลาดสหรัฐฯ กลายเป็นผู้บริโภครายใหญ่ในเดือนนี้ ที่ยอดขายเพิ่มขึ้นราว 13.6% อยู่ที่ 225,367 คัน จากความต้องการรถยนต์ไฮบริดที่แข็งแกร่ง
เทียบกับความต้องการรถยนต์สันดาปในตลาดอเมริกัน อาจจะไม่ได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบัน ข้อมูล Pew Research Center เผยว่า ชาวอเมริกันสนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฮบริดมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดย 45% ระบุว่ามีแนวโน้มที่จะพิจารณาซื้อรถยนต์ไฮบริดอย่างจริงจังในครั้งต่อไปที่ซื้อรถยนต์ และมีแนวโน้มความนิยมรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
[ ยอดขาย TOYOTA ตลาดอื่นก็โต ]
แถลงการณ์จาก TOYOTA Motors ได้กล่าวว่า ยอดขายทั่วโลกในเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 2.2% เทียบจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 844,963 คัน เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ และตลาดต่างประเทศอื่นๆ
อย่างเช่น ยอดขายในจีนเพิ่มขึ้น 0.9% อยู่ที่ 153,415 คัน ซึ่งเป็นผลมาจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลสำหรับการซื้อรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบดีมานด์ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่
อย่างไรก็ตาม ยอดขายในประเทศกลับลดลง 12.1% เหลือ 96,269 คัน เนื่องจากการส่งมอบที่ล่าช้าจากการระงับการผลิตหลังมีประกาศเตือนภัยสึนามิ และคำแนะนำต่างๆ หลังจากแผ่นดินไหวรุนแรงนอกคาบสมุทรคัมชัตกาของรัสเซีย
นักวิเคราะห์มองถึงความได้เปรียบของ TOYOTA ในฐานะที่เป็นแบรนด์แรกๆ ที่เริ่มหันการผลิตไปที่ ‘ไฮบริด’ ซึ่งตลาดที่มีดีมานด์รถยนต์ไฮบริดมากที่สุดตอนนี้ ยังคงเป็นสหรัฐฯ เทียบกับตลาดจีนที่นิยมรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า










