หลังจากกระแสแบน fast fashion และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมแฟชันถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในช่วงขวบปีที่ผ่านมา ล่าสุด (2 ธ.ค. 2564) บริษัทแม่ของ ‘ยูนิโคล่’ (Uniqlo) อย่าง ‘ฟาสต์ รีเทลลิ่ง’ (Fast Retailing) ได้ประกาศแผนปฏิบัติการด้านความยั่งยืนยาวนาน 10 ปี เพื่อสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าและการเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยแผนปฏิบัติการสำหรับความยั่งยืนภายในปีงบประมาณ 2030 เป็นการพัฒนาตามแนวคิดไลฟ์แวร์ (LifeWear) หรือเครื่องแต่งกายที่ไม่เพียงแต่เน้นคุณภาพ การออกแบบ และราคา แต่ยังตรงตามคำจำกัดความของ “เสื้อผ้าที่ดี” จากมุมมองของ สิ่งแวดล้อม ผู้คน และสังคม
ฟาสต์ รีเทลลิ่ง จึงเตรียมปรับกระบวนการปฏิบัติงานตั้งแต่การผลิต การขนส่ง และการขาย ให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและของเสียอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง พร้อมกับจะปกป้องสิทธิมนุษยชนในทุกกระบวนการ สร้างห่วงโซ่อุปทานที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าด้วยความไว้วางใจ
โดย ‘โคจิ ยาไน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของ ฟาสต์ รีเทลลิ่ง เผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในหลายด้านหลายโครงการ อาทิ
– ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 90% สำหรับหน้าร้านและสำนักงาน ภายในปี 2030 (เทียบกับปี 2019)
– ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% สำหรับกระบวนการผลิต-จำหน่าย ภายในปี 2030 (เทียบกับปี 2019)
– เพิ่มสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลในผลิตภัณฑ์ของยูนิโคลเป็น 50% ภายในปีงบประมาณ 2030
– หันมาใช้แนวคิด “ขยะเป็นศูนย์” (Zero Waste)
– เสริมความโปร่งใสและการตรวจสอบวัตถุดิบ ประเมินและแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อมในการทำงาน และสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต
– เคารพความแตกต่างและหลากหลายของพนักงาน สร้างที่ทำงานที่พนักงานสามารถใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ อาทิ เพิ่มสัดส่วนผู้บริหารผู้หญิงสูงถึง 50% เสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อกลุ่ม LGBTQ+ ในหมู่พนักงานและลูกค้า










