
จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 เม.ย. พิจารณาเรื่อง การโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 นำไปตั้งเป็นงบสำรองฉุกเฉิน แก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบ จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ตามร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. …
.
โดยในส่วนของงบประมาณกองทุนหมุนเวียนได้มีมติตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบ “บัตรทอง” จำนวน 2,400 ล้านบาทไป จนต่อมาเกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อประชาชนสิทธิ์การรักษาพยาบาลของประชาชนหรือไม่

ขณะที่ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า เป็นการนำงบในส่วนของค่าตอบแทนบุคลากรออกไป เพราะจะเป็นส่วนที่ไปจ่ายเงินเดือน จากการบรรจุข้าราชเพิ่มขึ้น 45,684 ตำแหน่งซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว จะไม่กระทบต่อประชาชน และหากงบประมาณไม่พอก็สามารถของบประมาณเพิ่มจากรัฐบาลได้

วันที่ 23 เม.ย. นายนิมิตร์ เทียนอุดม กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ให้สัมภาษณ์รายการ Workpoint Today ทางเฟซบุ๊ก Workpoint News ว่า เรื่องจะไม่ง่ายเหมือนที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขพูด เพราะเงิน 2,400 ล้านบาท ที่เป็นเงินเดือนลูกจ้างที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ ยังกระจายอยู่ใน อัตราเหมาจ่ายรายหัว 3,600 บาทต่อประชากรด้วย เมื่อดึงออกไปเป็นก้อนย่อมต้องมีผลกระทบ
.
เมื่อดึงส่วนนี้ไปแล้วเชื่อว่าจะมีผลให้ต้องไปลดค่าเหมาจ่ายรายหัวในการดูแลประชาชน อาจจะไม่สามารถจ่ายได้ 3,600 บาท ตามที่ตกลงกันไว้ได้
.
ตนสอบถามเรื่องนี้กับผู้เกี่ยวข้องเขาบอกว่าเมื่อดึงงบไปแล้ว ค่าเหมาจ่ายรายหัวจะไม่มีทางจ่ายได้เท่าเดิม มันคือการตัดค่าเหมาจ่ายรายหัวออกไปหัวละ 50 บาท เพื่อนำไปให้สำนักงบประมาณ เพราะค่าเหมาจ่ายรายหัวเป็นเงินค่ารักษารวมกับค่าแรง เมื่อถูกดึงไปแต่ละโรงพยาบาลรายรับก็จะลดลง เท่ากับหัวละ 50 บาทคูณด้วยจำนวนประชากร

ส่วนการบอกว่า โรงพยาบาลรายจ่ายจะน้อยลงเพราะรายจ่ายลูกจ้างเดิม เมื่อลูกจ้างได้บรรจุไปเป็นข้าราชการแล้ว กรมบัญชีกลางจะเป็นผู้จ่ายในส่วนนี้แทน แต่ในความเป็นจริงลูกจ้างแต่ละโรงพยาบาลไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการพร้อมกันทั้งหมดทุกคน มีอยู่ 50 ได้บรรจุ 10 คน อีก 40 คนรอบรรจุช่วงปลายปี โรงพยาบาลก็ยังต้องจ่ายเงินลูกจ้างส่วนนี้อยู่ใช่หรือไม่ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเพราะคุณเอาเงินก้อนใหญ่คืนไปแล้ว
.
นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า กรณีนี้จะกระทบโรงพยาบาลก่อน แล้วจะมีผลต่อคุณภาพการให้บริการ การสั่งซื้อยา เงินหมุนเวียนในโรงพยาบาล ซึ่งก็จะกลับไปเรื่องเดิมว่าบัตรทองให้ค่าหัวต่ำไม่พอกับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล

เขาเห็นว่าการบรรจุข้าราชการใหม่เป็นเรื่องดี แต่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ไม่ควรใช้วิธีดึงเงินที่ให้มาแล้วกลับคืน เพราะตอนแรกที่จะบรรจุข้าราชการก็บอกว่าจะใช้เงินส่วนอื่น เขาเสนอว่า ค่าแรงที่ดึงกลับไปถ้าจะต้องจ่ายอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดึงกลับ แต่ให้คำนวณตามสูตรเดิม แล้วดูว่ามีข้าราชการที่ได้รับการบรรจุเท่าไร เงินค่าแรงเดิมที่ได้อยู่บวกกับที่จะเป็นข้าราชการใหม่เท่าไร ถ้าไม่พอก็เติมเข้าไป ไม่ใช่มาดึงออกไป
.
ส่วนในภาพใหญ่เขาเห็นว่าไม่ควรหักเงินของสาธารณสุข ไปสมทบส่วนกลางเพราะเท่าที่จัดสรรมาพอที่จะดูแลสุขภาพของประชาชนอยู่แล้ว
.
“ต้องเกลี่ยปัญหารอบคอบไม่ใช่แก้แบบลิงแก้แห แก้อันนี้ไปยุ่งอันโน้น ต้องมีความเป็นมืออาชีพในการบริหารประเทศ ไม่ใช่ดึงเงินก้อนนี้ไปปะตรงนั้นแล้วไปเกิดปัญหาใหม่ในก้อนที่ถูกดึงไป”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง