เพดานหนี้ไทยจ่อแตะ 70% สัญญาณเตือน ‘วินัยการคลัง’ ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

เพดานหนี้ไทยจ่อแตะ 70% สัญญาณเตือน ‘วินัยการคลัง’ ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

การเงิน

แม้รัฐบาลไทยจะพยายามรักษาวินัยการคลัง แต่ความเป็นจริงคือ ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอกำลังบีบให้รัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ย้อนกลับไปก่อนโควิด-19 รัฐบาลขาดดุลอยู่ที่ราว 3% ของ GDP แต่หลังโควิดตัวเลขนี้พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 8–9% (รวมเงินกู้ฉุกเฉิน 1.5 ล้านล้านบาท) และแม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแต่การขาดดุลก็ยังอยู่ในระดับสูงราว 4–5% ของ GDP เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นช้ากว่าหลายประเทศ

ผลคือ ‘หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทย’ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย KKP Research คาดว่าหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% ภายในปีงบประมาณ 2027 เร็วกว่าที่กระทรวงการคลังประเมินไว้เดิมถึงสองปี 

ไม่เพียงแค่นั้น ‘นโยบายกึ่งการคลัง’ อย่างพวกการพักหนี้ หรือการค้ำประกันสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินของรัฐก็ใกล้เต็มขีดจำกัดเช่นกัน โดยปัจจุบันมีภาระรวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 29% ของงบประมาณทั้งหมด

KKP Research จึงมองภาพตอนนี้ว่า แม้รัฐบาลจะยังสามารถกู้เงินได้อยู่ก็จริง แต่พื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) กำลังเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว 

[ สัญญาณเตือนจากสถาบันจัดอันดับ ]

ความเปราะบางทางการคลังนี้เริ่มสะท้อนให้เห็นในระดับสากล เมื่อบริษัทจัดอันดับเครดิตยักษ์ใหญ่อย่าง Moody’s และ Fitch Ratings ต่างออกมาปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทย จาก ‘มีเสถียรภาพ’ (Stable) เป็น ‘ลบ’ (Negative)

ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่ไทยได้รับมุมมองเชิงลบแบบนี้ และมีโอกาสที่ S&P Global Ratings จะปรับตามมาในไม่ช้าการถูกมองเชิงลบไม่ได้หมายถึงการ ‘ถูกลดอันดับเครดิต’ ทันที แต่เป็นสัญญาณเตือนแรงๆ ว่า ไทยกำลังเสี่ยงต่อการถูกลดอันดับในอนาคต

ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลและภาคธุรกิจไทยที่กู้ยืมทั้งในและต่างประเทศสูงขึ้นทันที กระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางในตอนนี้

[ รายได้ภาครัฐลด สวนทางรายจ่าย ]

สาเหตุสำคัญอันดับต้นๆ มาจาก ‘รายได้ภาษีของรัฐ’ ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลจัดเก็บรายได้ภาษีต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตรถยนต์และภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงจากมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า

หากมองย้อนกลับไปสัดส่วนรายได้ภาครัฐต่อ GDP ของไทยลดจากเดิมที่อยู่ราว 16–17% ลดลงมาเหลือต่ำกว่า 15% ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค 

ปัญหานี้ส่วนหนึ่งเกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่’ ที่เก็บภาษีได้ยาก รวมถึงความอ่อนไหวทางการเมืองที่ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ทั้งที่ถูกลดลงชั่วคราวมากว่า 30 ปีแล้ว ดังนั้นแล้วเมื่อรายได้ลดลงแต่รายจ่ายกลับเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องพึ่งพาการกู้เงินมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพทางการคลังโดยตรง

[ งบประจำ กำลังเบียดพื้นที่การลงทุน ]

อีกปัญหาที่ถูกมองข้ามคือ ‘งบประจำ’ ที่ขยายตัวต่อเนื่องและปรับลดได้ยากมาก ปัจจุบันคิดเป็นกว่า 60% ของงบประมาณทั้งหมด  แบ่งเป็น  

  • เงินเดือนและค่าจ้างบุคลากรรัฐ 25%
  • งบสวัสดิการข้าราชการ 12–13%
  • งบสวัสดิการประชาชน 15–16%
  • ดอกเบี้ยหนี้สาธารณะอีกประมาณ 12%

และเมื่อประเทศไทยเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว งบสวัสดิการจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต KKP Research ประเมินว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า งบสวัสดิการรวมอาจแตะ 35% ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า พื้นที่สำหรับ ‘งบลงทุน’ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงๆ จะยิ่งลดลง

[ ทางรอดที่ต้องเริ่ม ‘ตอนนี้’ ]

เพื่อรักษาความเชื่อมั่นและป้องกันการถูกปรับลดอันดับเครดิต KKP Research เสนอให้รัฐบาลเร่ง ‘ปฏิรูปการคลัง’ อย่างเป็นระบบใน 4 ด้านหลัก

1.ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว : เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดึงการลงทุนภาคเอกชน และพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต

2.เพิ่มรายได้รัฐอย่างยั่งยืน : ขยายฐานภาษี ลดการยกเว้นภาษีที่ไม่จำเป็น และนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี พร้อมผลักดันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษ

3.ปรับโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ : ลดภาระรายจ่ายประจำ ปรับระบบราชการให้คล่องตัว และจัดสวัสดิการให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ลดการรั่วไหลและคอร์รัปชัน

  1. สร้างกรอบวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือ : เช่น การทำงบประมาณแบบหลายปี (multi-year budgeting) และตั้งองค์กรอิสระด้านการคลังเพื่อตรวจสอบและประเมินผลอย่างโปร่งใส

‘วินัยการคลัง’ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหนี้หรือดุลการคลัง แต่คือ รากฐานความเชื่อมั่นของประเทศ หากละเลยในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเปราะบาง อาจต้องจ่ายราคาแพงในอนาคต ทั้งต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น การลงทุนที่หดตัว และความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลงเรื่อยๆ

ดังนั้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องการวันนี้ อาจไม่ใช่ ‘งบกระตุ้นระยะสั้น’ แต่คือ ‘การวางรากฐานทางการคลังที่มั่นคง’ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง