สวนสนุกแข่งเดือด Universal เปิดศึก แย่งเวทมนตร์จาก Disney

สวนสนุกแข่งเดือด Universal เปิดศึก แย่งเวทมนตร์จาก Disney

ถ้าพูดถึงค่ายสวนสนุกระดับโลกที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก เชื่อว่า ชื่อของ Disney Land ต้องโผล่ขึ้นมาในใจ เพราะมีทั้งอาณาจักรแห่งเจ้าหญิง, ปราสาทกลางเมือง, ขบวนพาเหรดสุดอลังการ, ตัวการ์ตูนที่เราเติบโตมาด้วยกัน ไม่ว่าจะ มิกกี้เม้าส์ หรือ เอลซ่า และอื่นๆ 

ขณะที่อีกเจ้ามีชื่อเสียงเหมือนกันอย่าง Universal Studios ซึ่งทั้งคู่ถือเป็นคู่แข่งกันในวงการธีมปาร์ก เพราะแบรนด์ได้สร้างจักรวาลแห่งความสนุกเป็นของตัวเองมานานแล้ว  มีไฮไลท์อย่างการพาเราท่องไปในโลกของ Harry Potter, ขึ้นรถไฟเหาะธีม Jurassic World หรือซิ่งไปกับแก๊ง Fast & Furious

และ ไม่นานมานี้ Universal เพิ่งเปิดสวนสนุกใหม่อย่าง Epic Universe ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ (ราว 255,500 ล้านบาท) ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 5 ปี

เรียกได้ว่านี่เป็นการเดิมพันครั้งใหม่ของ Universal ที่จะท้าชนกับสวนสนุกของ Walt Disney World ที่ตั้งในฟลอริด้าเช่นกัน อยู่ห่างออกไปเพียง 20 นาที 

โดย Epic Universe ไม่ได้เป็นเพียงสวนสนุกใหม่ แต่เป็นก้าวสำคัญที่ Universal หวังจะใช้สร้าง “โลกแห่งเวทมนตร์” แข่งกับ Disney ที่ครองใจคนทั่วโลกมายาวนาน

Universal เริ่มบุกตลาดสวนสนุกใน Orlando ตั้งแต่ปี 1990 ด้วยการเปิด Universal Studios Florida จากนั้นต่อยอดด้วย Islands of Adventure ในปี 1999 และ Volcano Bay ซึ่งเป็นสวนสนุกน้ำในปี 2017 การเปิดตัว Epic Universe ครั้งนี้จึงเป็นการเติมเต็มแผนการสร้าง “อาณาจักรสวนสนุกครบวงจร” ที่จะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาอยู่กับ Universal ให้ได้นานที่สุด ลดโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะเลือกไปเยือน Walt Disney World ซึ่งยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของ Orlando

หรือธิบายง่ายๆ ว่าทำให้สวนสนุกครบวงจร น่าสนใจ กีดกันให้คนไม่ไป Disney 

ความน่าสนใจที่ Universal ใช้ท้าชนกับ Disney นี้คือในสวนสนุก Epic Universe ถูกออกแบบให้มี 5 โลกธีม (Themed Worlds) ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและตัวละครที่แฟนๆ รู้จักดี ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวกุดมังกรตัวเอกจาก How to Train Your Dragon ที่ขยับตัวและส่งเสียงได้เสมือนมีชีวิตจริง รวมถึงโซน Super Nintendo World ที่นำโลกของเกม Nintendo มาถ่ายทอดเป็นสวนสนุกจริงและอื่นๆ 

ที่น่าสนใจคือ Epic Universe เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรุกตลาดสวนสนุกระดับโลกของ Universal ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า Comcast (บริษัทแม่ของ Universal) จะเปิดสวนสนุกธีมสยองขวัญในลาสเวกัส ตามด้วยรีสอร์ตสำหรับเด็กในเท็กซัสในปีหน้า ล่าสุดก็เพิ่งประกาศแผนสร้างสวนสนุกขนาดใหญ่ในอังกฤษ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2031

[ Disney เสริมแกร่งเปิดสวนสนุกใหม่ในรอบ 10 ปีที่อาบูดาบี ]

ด้าน Disney เองก็ไม่น้อยหน้า เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Universal เปิดตัว Epic Universe บริษัทก็ประกาศแผนสร้างสวนสนุกแห่งใหม่ในอาบูดาบี ซึ่งเป็นสวนสนุกแห่งแรกในรอบ 10 ปีของ Disney เช่นกัน ซึ่งตอนนั้นกระแสก็ฮือฮาไปทั่วโลก เพราะเป็นที่แรกในพื้นที่ตะวันออกกลาง และตรงนั้นก็มีกลุ่มเศรษฐีบ่อน้ำมันพร้อมจ่าย

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ธุรกิจสวนสนุกยังเป็น “เครื่องจักรทำเงิน” สำคัญในยุคที่ธุรกิจบันเทิงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเรามาอิงจากตัวเลขรายได้ล่าสุดของ Disney แสดงให้เห็นว่าธุรกิจ Experiences ซึ่งครอบคลุมสวนสนุก เรือสำราญ และโรงแรม สร้างรายได้ถึง 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.24 ล้านล้านบาท ต่อปี 

หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวมบริษัท และสร้างกำไรมากกว่าสองเท่าของธุรกิจสื่อบันเทิงที่รวมถึงภาพยนตร์ ทีวี และบริการสตรีมมิ่งด้วยซ้ำ

ฝั่ง Comcast (บริษัทแม่ของ Universal) แม้รายได้จากสวนสนุกยังน้อยกว่า Disney มาก (ต่ำกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 328,500 ล้านบาท ต่อปี) แต่ก็ต้องการขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างจริงจัง เห็นได้จากการลงทุนมหาศาลใน Epic Universe และแผนเปิดสวนสนุกใหม่หลายแห่งทั่วโลก

ซึ่งบริษัทก็เริ่มมีรายได้เสริมใหม่ๆ เช่น ถังป๊อปคอร์นในสวนสนุกที่วางขายในราคา 40 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,460 บาท ตัวเลขที่สะท้อนว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเพื่อประสบการณ์พิเศษระหว่างเยือนสวนสนุก

อย่างไรก็ตาม การแย่งชิง “เวทมนตร์ Disney” ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ Epic Universe จะเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนๆ และนักรีวิวจำนวนมาก แต่สวนสนุกก็ยังมีจุดอ่อนในสายตานักท่องเที่ยวบางส่วน 

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นบางอย่างที่สั้นเกินไปหรือไม่ประทับใจเท่าที่คาดหวัง อีกทั้ง Universal เองก็มีประวัติการเปิดสวนสนุกใหม่พร้อมปัญหาทางเทคนิคในอดีต ซึ่งผู้บริหารหวังว่าจะไม่ซ้ำรอยในครั้งนี้

และความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ Universal ไม่มี “ขุมทรัพย์ IP” แบบ Disney ที่มีตัวละครและโลกที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักและผูกพัน เช่น Star Wars, Marvel Universe, Frozen หรือ Mickey Mouse ซึ่งนี่คือมนต์สะกดสำคัญที่ไม่ว่าใครๆ อยากลองไปท่องเที่ยวสวนสนุกของ Disney สักครั้ง

เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะตัดสินใจเลือกสวนสนุกจากตัวละครหรือโลกที่รักมากกว่าความล้ำของเทคโนโลยีเครื่องเล่น

นอกจากนี้ ในแง่ผลกระทบต่อ Disney นักวิเคราะห์จาก JPMorgan Chase ประเมินว่า Epic Universe จะลดจำนวนผู้เข้าชม Walt Disney World ได้เพียง 1% ในปีงบประมาณนี้ ซึ่งถือเป็นผลกระทบในระดับต่ำ

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่าธุรกิจสวนสนุกเป็น ธุรกิจวัฏจักรสูงมาก ที่แปรผันตามสภาพเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ผู้บริโภคอาจลดการเดินทางหรือลดค่าใช้จ่ายต่อหัวในสวนสนุก แม้จะยังซื้อตั๋วเข้าอยู่ก็ตาม ปัจจัยที่น่ากังวลอีกด้านคือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง 

ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาพลักษณ์ของสหรัฐที่เสียหายจากยุคทรัมป์ เพราะแม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีสัดส่วนน้อยกว่านักท่องเที่ยวในประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสูงกว่ามาก

ส่วน ในเกมการแย่งชิงตลาดนักท่องเที่ยวระหว่าง Universal และ Disney การสร้างโลกใหม่อาจไม่พอ ต้องสร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งและยืนยาวกับแฟนๆ ด้วย ซึ่ง Disney ยังคงได้เปรียบอยู่มาก

แม้ Universal จะเสริมแกร่ง Epic Universe ขึ้นมาใหม่แค่ไหน ก็อาจช่วยให้โลกสวนสนุกมีสีสันและการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น แต่ “เวทมนตร์” ของ Disney ยังแข็งแกร่งที่สุด และ Universal ต้องเจอทางที่ท้าทายไม่น้อย หากหวังจะเปลี่ยนสมรภูมิสวนสนุกโลกในระยะยาวอยู่ดี

ที่มา

        • https://www.economist.com/business/2025/05/22/universal-wants-to-steal-disneys-theme-park-magic
แท็กที่เกี่ยวข้อง
AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง