กรมสุขภาพจิต เปิดเหตุผลคนไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เร่งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่น ปรับกลยุทธ์ให้คนมาฉีดวัคซีน
วันที่ 7 ธ.ค. 2564 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวเรื่องแนวทางการสร้างแรงจูงใจในกลุ่มที่ยังไม่เข้ารับวัคซีนโควิด-19 ว่า องค์อนามัยโลกวิเคราะห์ว่าความลังเลเรื่องการฉีดวัคซีน เป็น 1 ใน 10 ปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในระดับโลก ไม่ใช่เพียงวัคซีนโควิด-19 เท่านั้น โดยองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความลังเลในระดับโลกไม่ได้แตกต่างกับไทย เกิดจาก 3 ช. ได้แก่
1.เชื่อมั่นของประชาชนต่อวัคซีน ซึ่งกรมสุขภาพจิต พบว่าคนที่ปฏิเสธวัคซีนในช่วง แรกราว พันกว่าคน ในกลุ่มเสี่ยง 608 พบว่ามีความเชื่อมั่นวัคซีน 46.19% และไม่เชื่อมั่นวัคซีน 53.81% เพราะ กังวลความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ได้ยินมาว่าฉีดแล้วเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเกิดขึ้นจากวัคซีนหรือปัจจัยอื่น รวมถึงความต้องการของประชาชนที่อยากมีสูตรวัคซีนที่ตรงกับใจตัวเอง นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่ม 608 มีความไม่เชื่อมั่นวัคซีนมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขก็พยายามให้ข่าวที่สร้างความเชื่อมั่น เผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง
2.ชะล่าใจ คือประมาทต่อสถานการณ์จึงละเลยการที่จะไปฉีดวัคซีน ชะล่าใจ 80.89% (อยู่ในจังหวัดระบาด 51% และมีคนรู้จักติดโควิด 26.59) รู้ว่าเสี่ยง 19.11%
โดยมองว่าเรื่องนี้ไม่เกิดความเสียหายต่อตัวเอง ไม่ใช่ปัญหาติดเชื้อหรือความเสี่ยงต่อชีวิต ซึ่งทาง สธ. เครือข่ายและประชาชนทุกคนต้องช่วยกันดูแลไม่ให้คงมีความชะล่าใจเช่นนี้
3.ช่องทาง คือ ช่องทางการรับวัคซีนซึ่งเป็นกลไกของภาครัฐที่ต้องบริหารจัดการช่องทางรับวัคซีนให้ลงตัว สะดวกที่สุด พบว่าเดินทาง สะดวก 61.61% และไม่สะดวก 48.39% ดังนั้นระยะหลังทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จึงมีการขับเคลื่อนเพิ่มจุดวัคซีนให้กว้างขวางขึ้น ทำงานเชิงรุกเดินเข้าชุมชนเพื่อฉีดวัคซีน รวมถึงอำนวยความสะดวกในกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ
สถานการณ์เหล่านี้ ที่ผ่านมา สธ. ทำงานหนักมาก ทำงานเชิงรุกเพื่อเข้าถึงผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีนโดยเร็ว ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หากจะย้อนไปมองเรื่องความเชื่อมั่น สธ. มีการปรับตัวในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลัง พยายามให้ข่าวที่สร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น ขณะที่ในหลายๆ รพ. หรือจุดฉีด ให้ประชาชนสามารถเลือกยี่ห้อฉีดวัคซีนได้
นอกจากนี้ จากการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ที่ปฏิเสธการรับวัคซีนพบว่าหลายคนที่ลังเลในเบื้องต้นแต่กลับอยากมาฉีดวัคซีน สาเหตุมาจากแรงจูงใจจากครอบครัว ซึ่งมีผลอย่างมาก ดังนั้น สมาชิกในครอบครัว ต้องช่วยกันสร้างแรงจูงใจแก่กันและกันเพื่อความปลอดภัยของทุกคน










