วีซ่า (VISA ) เผยข้อมูลการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีฉบับล่าสุดปี 2566 พบว่าคนไทยใช้โมบายแบงก์กิ้งมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง โดย 97% ใช้งานแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้งอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ตามมาด้วยเวียดนาม 95% และอินโดนีเซีย 90%
‘ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา’ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การชำระเงินแบบดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกในการชำระเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชำระผ่านบัตรคอนแทคเลส สมาร์ทโฟน และการสแกนคิวอาร์โค้ด
รวมถึงการชำระเงินแบบเรียลไทม์ (Real-time payments หรือ RTP) ก็เป็นอีกทางเลือกที่กำลังแพร่หลายอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยประเทศไทยอยู่อันดับที่ 1 ของภูมิภาคในด้านความถี่ของการใช้บริการชำระเงินแบบเรียลไทม์
โดย 86%ของผู้ตอบแบบสอบถามทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ตามด้วยเวียดนาม 84% และอินโดนีเซียที่ 69%
ทั้งนี้ แม้การชำระเงินแบบเรียลไทม์จะเป็นที่รู้จักและยอมรับ แต่ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังคงมีความกังวลในการใช้งาน
โดยข้อกังวลลำดับต้นๆ ที่ทำให้พวกเขาลังเลคือ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 44% ชอบชำระเงินดิจิทัลรูปแบบอื่นมากกว่า เช่น บัตรเครดิต/ บัตรเดบิต 42% และขาดความเข้าใจในการใช้งาน 41%
และจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทาง VISA ก็ต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับไปกับความต้องการของผู้ใช้งาน
โดยเริ่มจากการเปิดบริการ ‘Scan to Pay’ เมื่อปี 2018 ซึ่งเป็นช่องทางการชำระเงินผ่าน QR Code หลังจากมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการใช้จ่ายหลักในชีวิตประจำวัน
ล่าสุด VISA เตรียมเปิดตัวบริการ ‘Click to pay’ ในประเทศไทยปีหน้าเพื่อรองรับพฤติกรรมการชำระเงินแบบเรียลไทม์ของคนไทย ซึ่งทาง VISA มุ่งเน้นที่จะให้บริการการชำระเงินที่สะดวกและมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ซึ่งรายละเอียดของบริการคงต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การที่บริการชำระเงินแบบดิจิทัลต่างๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบที่ VISA ได้รับคือลูกค้าเปิดบัตรเดบิตน้อยลงค่อนข้างมากและบางรายบัตรหมดอายุแล้วก็จะไม่ต่อบริการอีก ทำให้ผู้ใช้งานในส่วนนี้ลดลงไป โดยมีสัดส่วนที่ลดลง 20% ทุกปี
แต่ข้อดีก็คือ VISA ก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินออกไปในทางที่หลากหลายและตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมองว่าก็ยังมีคนที่สนใจเปิดบัตรเครดิตอยู่พอสมควร
เนื่องจากในปัจจุบันธนาคารค่อนข้างที่จะปล่อยสินเชื่อให้คนทั่วไปได้ยากมากขึ้นจากปัญหาหนี้ครัวเรือนต่างๆ ทำให้ยังมีความต้องการในส่วนนี้อยู่แต่สัดส่วนคงไม่ได้โตไปมากกว่านี้นัก เพราะส่วนใหญ่หันไปใช้การชำระเงินแบบเรียลไทม์เป็นหลักเยอะขึ้น










