ตอนนี้ถ้าใครส่องไปที่ข้อมือบรรดาคนดัง เซเลบริตี้ อินฟลูเอนเซอร์ ไปจนถึงซีอีโอดังๆ ในเมืองไทย จะเห็นว่าหลายคนกำลังนิยมใส่ ‘สายรัดข้อมือ’ คล้ายสมาร์ทวอทช์ แต่ไม่ใช่ และบางคนนอกจากใส่นาฬิกาปกติแล้ว ข้อมืออีกข้างก็จะมีสายรัดสีดำนี้คล้องอยู่ด้วย ถ้าเราไปถามแต่ละคนจะได้รับคำตอบว่าพวกเขาใส่ WHOOP
แล้ว WHOOP คืออะไร TODAYBizview จะพาไปรู้จักให้มากขึ้น
WHOOP คือ แบรนด์ “สายรัดข้อมือ” ที่เป็นอุปกรณ์ติดตามสุขภาพและประเมินค่าการใช้ชีวิต ฟังก์ชั่นก็คือสายรัดอัจฉริยะที่เน้นเก็บข้อมูลด้านสุขภาพเชิงลึก เช่น การนอนหลับ การฟื้นตัว ความเครียด ไปจนถึงประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
โดย WHOOP มีโมเดล Subscription รายปี ซึ่งน่าสนใจว่ามีคนยอมจ่าย มากกว่าการซื้อขาดเหมือน Smart Watch ทั่วไป
[ WHOOP เริ่มต้นจากนักกีฬาสุดเนิร์ดที่ศึกษาร่างกายมนุษย์ผ่านเปเปอร์ 500 ฉบับ ]
‘Will Ahmed’ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร WHOOP เป็นคนที่สนใจในเรื่องกีฬาและการออกกำลังกายอย่างมาก เขาเป็นกัปตันทีมสควอชที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่เกิดรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้ว่าที่ฝึกซ้อมไปแต่ละวันนั้น ร่างกายข้างในกำลังทำอะไรอยู่บ้าง อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่าเพื่อนๆ นักกีฬาหลายคนฝึกซ้อมมากเกินไป (overtrain) หรือน้อยเกินไป (undertrain) ทำให้ไม่รู้จริงๆ ว่าสมรรถภาพของร่างกายตัวเองมีช่วงพีคตอนไหน รวมทั้งไม่เข้าใจถึงความสำคัญของลูปการฟื้นตัวของร่างกายและการนอนหลับ
ตัวเขาเองก็เคยฝึกซ้อมมากเกินไปเกือบทุกฤดูกาลแข่งขัน ทำให้สมรรถภาพร่างกายตกลงอย่างกะทันหัน เขาจึงสนใจประเด็นที่อยากจะเข้าใจร่างกายมนุษย์ให้มากที่สุด ไปมากลายเป็นหมกมุ่นกับการวิจัยด้านสรีรวิทยา อ่านเอกสารทางการแพทย์ประมาณ 500 ฉบับตั้งแต่สมัยเรียน
จนในที่สุด เขาก็ได้เขียนงานวิจัยเกี่ยวกับวิธีที่เขาคิดว่าจะสามารถทำความเข้าใจร่างกายมนุษย์ได้ และพัฒนางานวิจัยชิ้นนี้ให้กลายมาเป็นแผนธุรกิจสำหรับโปรเจ็กต์ WHOOP
[ WHOOP เข้าสู่วงการคนดังได้อย่างไร? ]
WHOOP เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีของตัวเองครบวงจร ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบวิเคราะห์ข้อมูล จุดประสงค์คือเพื่อทำความเข้าใจร่างกายและพฤติกรรมของผู้ใช้งานให้ลึกซึ้งกว่าสายรัดทั่วไป
ในช่วงแรก ผู้ก่อตั้งเลือกที่จะส่ง WHOOP ไปให้นักกีฬาชื่อดังได้ทดลองใช้ก่อน และยังจับมือกับ NFL Players Association แจกให้นักกีฬาอาชีพประมาณ 100 คนได้ลองใช้งาน ผลคือมีซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง LeBron James และ Michael Phelps ที่เป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้สัมผัสและช่วยพิสูจน์ประสิทธิภาพของ WHOOP
เวลาผ่านไป WHOOP ได้ก้าวจากสายรัดข้อมือนักกีฬา สู่การเป็น แบรนด์สำหรับผู้บริโภคทั่วไป เพราะ ‘Will Ahmed ผู้ก่อตั้ง’ มองเห็นว่า ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้นักกีฬาระดับโลกอย่าง Tom Brady หรือ LeBron James สามารถรักษาฟอร์มการเล่นระดับ MVP ได้แม้ในวัย 42 ปีนั้น ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะกับนักกีฬาอาชีพเท่านั้น แต่ยังสามารถต่อยอดไปสู่คนทั่วไป ที่ต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการดูแลสุขภาพและออกแบบการใช้ชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นได้เช่นกัน
[ จุดแข็งของ WHOOP มีระบบวัดการฟื้นตัวร่างกายทุกเช้า ]
ด้วยไฮไลต์ที่ทำให้ตอนนี้ WHOOP กลายเป็นแบรนด์สายรัดข้อมือยอดฮิตคือ มีระบบวัดการฟื้นตัวของร่างกายทุกเช้า ผ่านแอป WHOOP โดยให้คะแนน 0–100% พร้อมวัดระดับตามสี (แดง-เหลือง-เขียว) เพื่อบอกว่าคุณพร้อมรับความเครียด (Strain) ในแต่ละวันมากน้อยแค่ไหน ทำให้มันเป็นสายรัดข้อมือสุดฮิตตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพในตอนนี้
ในองค์ประกอบหลักที่ใช้คำนวณการให้คะแนนร่างกายก็แบ่งออกเป็นหลักๆ 3 เรื่อง ได้แก่
-
-
-
- การนอนหลับ วัดทั้งการนอนลึก (Slow-wave) ที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมร่างกายและการผลิต Growth Hormone และการนอน REM ที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจ
- ความแปรปรวนของอัตราการเต้นหัวใจ (HRV) ตัวชี้วัดสำคัญที่สุด ยิ่งสูงยิ่งดี บ่งบอกถึงความฟิตและสมดุลของระบบประสาท WHOOP เน้นวัด HRV ในช่วงหลับลึกเพื่อความแม่นยำ
- อัตราการเต้นหัวใจขณะพัก (Resting Heart Rate) ใช้ประกอบการประเมินสภาพการฟื้นตัว
-
-
[ WHOOP ต่างกับสมาร์ทวอทช์ที่วัดสุขภาพแบรนด์อื่นอย่างไร ]
จุดแข็งคือ WHOOP สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ เช่น สัญญาณการป่วยก่อนรู้สึกถึงอาการจริง และยังสะท้อนผลกระทบจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้แย่ลงเหมือนอาการป่วยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม WHOOP เองถ้าเทียบกับสมาร์ทวอทช์ คือเบาและแบตอึดกว่า ทำให้การใช้งานง่าย สวมใส่สบาย ถอดแค่ตอนอาบน้ำ ชาร์จแบตหนึ่งครั้งอยู่ได้นานกว่า แต่ด้วยตัวสายเป็นเหมือนสายรัดข้อมือเบาๆ ไม่ได้มีหน้าปัดหรือจออะไร ทำให้บางคนจึงเลือกใส่ทั้งนาฬิกาควบคู่ไปกับ WHOOP
ซึ่งถ้าสังเกตตามโซเชียลมีเดีย จะเห็นว่าหลายคนเลือกแชร์ คะแนนการฟื้นตัวจาก WHOOP ลงสตอรี่หรือโพสต์ เหมือนเป็นการอัปเดตสุขภาพประจำวัน แทนที่จะโชว์แค่ภาพออกกำลังกายหรืออาหารคลีนเหมือนแต่ก่อน ทำให้ WHOOP กลายเป็นอุปกรณ์ยอดฮิต
[ โมเดล subscription รายเดือนรายปีที่คนยอมจ่าย ในไทยยังเน้นพรีออเดอร์อยู่ ]
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ WHOOP ต่างจากสมาร์ทวอทช์คือโมเดลการใช้งาน โดยแรกเข้าเราจะจ่ายค่าซื้อสายรัดแล้วจะแถมเป็น Subscription 1 ปี ตอนนี้ WHOOP มีหลายรุ่นให้เลือกใส่และแพ็คแกจก็จะต่างกันออกไป อย่างรุ่นฮิตๆ ก็เช่น WHOOP 5.0
ส่วนราคาสำหรับการ Subscription มีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น รายเดือนราวๆ 30 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งราคาจะสูงกว่าแบบรายปี ส่วนรายปี จ่ายล่วงหน้าอาจได้ส่วนลด เฉลี่ยเริ่มต้นอยู่ที่ราวๆ 239 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และราย 2 ปี จ่ายล่วงหน้าได้ในราคาส่วนลดสูงสุด เช่น 399 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 2 ปี หรือประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน เท่านั้น
สำหรับในไทย แบรนด์ยังไม่ได้เข้ามาอย่างเป็นทางการ ต้องผ่านการพรีออเดอร์เข้ามา โดยค่าใช้จ่ายในตลาดอยู่ที่ราวๆ 10,900 ขึ้น/ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของสายรัดด้วย
และนี่คือเรื่องราวของ WHOOP จากสายรัดที่เริ่มต้นด้วยการเป็นเครื่องมือสำหรับนักกีฬาอาชีพ สู่การขยับขึ้นเป็นแบรนด์สุขภาพที่คนดัง ซีอีโอ และคนรักสุขภาพทั่วโลกกำลังนิยมกันตอนนี้ จุดแข็งของ WHOOP ไม่ได้อยู่แค่การเก็บข้อมูล แต่คือการเปลี่ยนข้อมูล ให้กลายเป็น อินไซต์ที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน การออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตประจำวันตอบรับเทรนด์รักสุขภาพที่คนทั่วโลกยอมจ่าย
ที่มา
-
-
-
- https://www.whoop.com/us/en/thelocker/podcast-74-story-of-whoop/?srsltid=AfmBOopiaC_8EOWZ37jZfWCIUdWJ39_kZuYTuu33nuvK7By1GlkIkVok
-
-










