ถึงโลกจะก้าวข้ามโควิด-19 มาได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมา 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ‘เอเชีย’ รวมถึงประเทศไทย TODAY Bizview ชวนหาเหตุผลทำไมท่องเที่ยวยังไม่กลับไปดีเท่าปี 2019
ก่อนหน้านี้เราได้พูดคุยกับ ‘ออมรี มอร์เกนสเติร์น’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอโกด้า (agoda) ว่า ในปี 2022 ยอดจองของอโกด้าทั่วโลกส่วนใหญ่นั้น ‘ดี’ กว่าปี 2019 แล้ว แต่ส่วนมากเป็นยอดจองจาก ‘การท่องเที่ยวภายในประเทศ’ ส่วนยอดจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังไม่กลับมาเท่ากับปี 2019 ทำให้ ‘รายได้’ ยังไม่กลับมาเท่ากับปี 2019
ถ้ามาดูการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของไทยจากการค้นหาบนอโกด้า
ในปี 2022 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2019 จะเห็นว่า
ปี 2022 คนไทยเที่ยวในประเทศมากกว่าปี 2019 แล้ว
ปี 2022 ต่างชาติยังคงเที่ยวไทยน้อยกว่าปี 2019 ราว 39%
ปี 2022 ไทยยังคงเที่ยวต่างประเทศน้อยกว่าปี 2019 ราว 46%
หรือหากดูจากกราฟของอโกด้าก็คือ แม้ ‘ไทยเที่ยวไทย’ จะลดลงในช่วงฤดูฝนที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ตัวเลข ‘ไทยเที่ยวไทย’ โดยรวมตลอดทั้งปีสูงกว่าปี 2019 มาตลอด
ขณะที่ ‘ต่างชาติเที่ยวไทย’ กราฟมีลักษณะเป็นกราฟหัวขึ้น ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ประเทศไทยเปิดให้เดินทางได้อย่างเสรี จนปัจจุบันตัวเลขเริ่มขยับเข้าใกล้กับจำนวนในปี 2019 ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ดีเท่าในปี 2019 อยู่ดี
ส่วนตัวเลข ‘ไทยเที่ยวต่างประเทศ’ กราฟยังลงเป็นหัวลงและห่างจากตัวเลขในปี 2019 ค่อนข้างมาก
โดย ไม่ใช่แค่ ‘ไทย’ ประเทศเดียวเท่านั้นที่ยังคงออกเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศน้อย และนักท่องเที่ยวไม่กลับมาเดินทางอย่างรวดเร็วเหมือนกับหลายๆ ประเทศในซีกโลกตะวันตก เพราะหลายๆ ประเทศในเอเชียก็ยังอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือ แม้รัฐบาลจะไม่ได้มีนโยบายห้ามเดินทาง แต่ประชาชนก็ยังคงไม่ออกเดินทางมากเท่าที่เคย
‘สาเหตุ’ ผู้บริหารของอโกด้า คาดว่ามาจาก 2 ข้อหลักๆ คือ
1) อาการบาดเจ็บทางจิตใจจากโควิด หรือในภาษาอังกฤษว่า Post-COVID-19 Trauma ที่ประชากรหลายประเทศในเอเชียยังไม่สามารถละทิ้งความกังวลจากยุคโรคระบาดและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิมได้
2) หลายประเทศในเอเชียที่เป็น ‘จุดหมายปลายทางยอดนิยม’ ยังไม่เปิดประเทศอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ฯลฯ ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเที่ยวของนักท่องเที่ยว อย่างคนไทยที่นิยมท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากเป็นอันดับหนึ่งก็ยังเลือกไม่เดินทางในช่วงนี้
และ 2 เหตุผลนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ ‘ต่างชาติเที่ยวไทย’ ที่เริ่มกลับมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงระดับเดียวกับปี 2019 ด้วย
‘ออมรี มอร์เกนสเติร์น’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอโกด้า (agoda) คาดว่า ท่องเที่ยวไทยจะกลับเข้าสู่ระดับเดียวกับปี 2019 ได้ต้องอาศัย 2 ปัจจัยหลักๆ คือ
1) ประเทศตลาดสำคัญของไทยเปิดประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง หรือจีน
2) ประชากรในเอเชียต้องรู้สึกปลอดภัยที่จะออกเดินทาง คาดว่าจะต้องใช้เวลา 3-6 เดือน หลังเปิดประเทศนั้น
ผู้บริหารของอโกด้าจึงเชื่อว่าจะต้องเข้าสู่ช่วงปี 2023 ไปแล้วถึงจะกลับเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2019
โดยเชื่อว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชียที่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากโควิด-19 เพราะหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญกับการจัดการสมดุลระหว่างการป้องกันโรคระบาดและการดึงดูดนักท่องเที่ยว
หลังจากหลายๆ ประเทศทยอยกลับมาเปิดประเทศเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะต้องรอดูต่อไปคือ ขณะที่นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางออกนอกประเทศกันหมด รัฐบาลจะทำยังไงให้ดึงดูดคนเข้ามาเที่ยวในประเทศแทน เพื่อให้ธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศที่มีขนาดเล็กและขนาดย่อมดำเนินธุรกิจได้
ในส่วนของอโกด้าตอนนี้เน้น 3 เรื่องหลักๆ คือ 1) Deal Master ให้ราคาที่ดีที่สุดในธุรกิจท่องเที่ยว 2) ปรับแพลตฟอร์มให้เหมาะกับแต่ละประเทศแต่ละภูมิภาค 3) ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน พาร์ทเนอร์ การจองต่อเนื่อง และบริการทางการเงิน
ซีอีโอของอโกด้ายืนยันว่า ไม่กังวลกับสถานการณ์การฟื้นตัวในภูมิภาคเอเชียที่ค่อนข้างช้า เพราะอโกด้ายังมีทุนพร้อมรองรับสถานการณ์ ปัจจุบันจำนวนพนักงานของอโกด้ากลับขึ้นมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 แล้วกว่า 5,500 คนใน 34 ตลาดที่อโกด้าดำเนินการอยู่
เล่ามาจนถึงตอนนี้อาจจะต้องบอกว่า สิ่งสำคัญที่ต้องโฟกัสคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2019 ไทยเคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนเกือบ 40 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 2 ล้านล้านบาท นับเป็นรายได้ก้อนสำคัญของประเทศ
ปัจจุบัน ททท. คาดว่า ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมถึง 6 ล้านคนในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ และจะสามารถบรรลุเป้าหมาย 10 ล้านคนได้ในช่วงสิ้นปี
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังผันผวน เงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจฝืดแบบนี้ไทยจึงต้องการเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจอย่างการท่องเที่ยวในระดับเดียวกับปี 2019 โดยเร็วที่สุด แต่จะได้หรือไม่ นอกจากสถานการณ์ในไทยแล้วยังต้องดูปัจจัยทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่ผู้คนยังคงบอบช้ำจากโควิด










