#Futureofwork “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” คำขวัญประโลมใจให้เราขยันทำงานที่ใครหลายคนอาจเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ทว่าปัจจุบันที่โลกของเรากำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งดูท่าแล้วจะอยู่กับเราอีกยาว ๆ ทำให้รูปโฉมของการจ้างงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และ ‘งาน’ อาจไม่บันดาลสุขอย่างที่เคย
TODAY Bizview ชวนสำรวจความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการจ้างงานไทยและชีวิตคนทำงานในประเทศไทยผ่านมุมมองทางสังคมกันบ้าง
[ เกิดอะไรขึ้นกับโครงสร้างการจ้างงานไทย ]
ข้อมูลจาก รศ.ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในรายการ TOMORROW ‘วิเคราะห์การทำงานยุคใหม่ ด้วยสายตาแบบสังคมวิทยา’ ระบุว่า มี 4 ประเด็นสำคัญของโครงสร้างระบบการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไปในประเทศไทยตลอด 3 ทศวรรษจนมาถึงปัจจุบันในยุคโควิด-19
1) อัตราการว่างงานเพิ่มมากขึ้น เด็กจบใหม่เข้าสู่ระบบแรงงานไม่ได้ จึงต้องเสี่ยงยอมรับงานชั่วคราวที่ขาดความมั่นคง รวมไปถึงรับงานหลายงานพร้อมกัน ขณะที่อีกส่วนออกมาเป็นผู้ประกอบการรายย่อยหรือ ‘แม่ค้าออนไลน์’
2) ประเทศไทยไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ได้เร็ว ดังนั้น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเลยมีการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ตำแหน่งงานที่เคยมีหายไป ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
3) นายจ้างปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์มากขึ้น เลือกจ้างงานในรูปแบบไม่ตายตัวและยืดหยุ่น หรือในทางวิชาการเรียกว่า Flexible Employment เช่น การจ้าง Outsource, Sub-contract, Freelance โดยในอนาคตหลายองค์กรมีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนมาใช้วิธีการแบบเดียวกัน เพื่อลดภาระแบกรับลูกจ้าง
4) ทัศนคติต่องานของคนแต่ละรุ่นเปลี่ยนแปลงไป คนเจนเอ็กซ์ขึ้นไปเมื่อเจอโควิดก็อยากกลับเข้าไปสู่ระบบการจ้างงานเต็มเวลา (Full-time) เพื่อแสวงหาความมั่นคง แต่คนเจนวายหรือเจนซีมองว่าความยืดหยุ่นในการทำงานนั้นดีกว่า แต่ในการทำงานแบบไม่ตายตัวต้องมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิต กรณีเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือตกงาน
[ เมื่อหนึ่งคนมีหลายงาน สะท้อนความขยันหรือความไม่มั่นคง ]
จากทั้ง 4 ประเด็นสำคัญข้างบน ทำให้เราเห็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของโครงสร้างการจ้างงาน คือ ในห้วงเวลาที่ประชากรโลกถูกทดสอบครั้งใหญ่กับโรคระบาดตัวร้าย การทำงานแบบยืดหยุ่นผสมผสาน ทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ถูกเร่งปฏิกิริยาให้มีบทบาทกับมนุษย์มากขึ้น
รศ.ดร.เก่งกิจ อธิบายภูมิทัศน์การจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไปว่า ในโลกตะวันตก งานแบบสัญญาระยะสั้นแพร่หลายอย่างมากช่วงทศวรรษที่ 1970 ส่วนในไทยนั้นเริ่มถูกพูดถึงในช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา
ทำให้การจ้างงานเริ่มเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการจ้างงานด้วยสัญญาระยะสั้นมากขึ้น ในภาคเอกชนก็มีการจ้างงานหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งแบบยืดหยุ่นเป็นเอาท์ซอร์สหรือแบบสัญญาระยะสั้น โดยบริษัทต่างๆ ล้วนปรับให้มีพนักงานประจำน้อยลง เพื่อให้องค์กรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และแม้แต่งานข้าราชการที่หลายคนเชื่อว่ามั่นคงก็เริ่มมีการจ้างงานสัญญาระยะสั้นแล้วเช่นกัน
ความยืดหยุ่นของระบบการจ้างงานทำให้คนทำงานสามารถหารายได้เสริมได้จากหลายช่องทางก็จริง แต่ก็ทำให้แรงงานถูกผลักออกจากระบบมากขึ้น ส่งผลให้หลักประกันความมั่นคงของคนทำงานหายไป เพราะโครงสร้างระบบสวัสดิการคนทำงานที่รัฐจัดสรรไม่ได้พัฒนาตามความยืดหยุ่นของระบบการจ้างงานปัจจุบัน
เมื่อสถานการณ์ดำเนินในลักษณะนี้ทำให้คนทำงานไม่สามารถทำแค่ ‘งานเดียว’ ได้อีกต่อไป
หลายครั้งคนคิดว่า การจ้างงานแบบยืดหยุ่นนี้ลูกจ้างได้ประโยชน์มากกว่า แต่ถ้ามองอีกด้านอาจเป็นผลบวกกับนายทุนมากกว่า เพราะทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรของนายจ้างเป็นไปได้อย่างลื่นไหล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสถานการณ์
ขณะที่ลูกจ้างต้องเจอกับสภาวะที่รัฐสวัสดิการไม่ครอบคลุมก็ยิ่งทำให้การจ้างงานลักษณะสัญญาระยะสั้นหรือยืดหยุ่นนี้เป็นผลลบต่อลูกจ้างมากกว่า
ถ้ามาย้อนดูแล้วในปัจจุบันของโครงสร้างการจ้างงานไทย ประเทศไทยมีประชาการกว่า 60 ล้านคน โดยมีประชากรกว่า 40 ล้านคนอยู่ในวัยทำงาน แต่มีเพียงแค่ 10 ล้านคนเท่านั้นที่เข้าถึงระบบประกันสังคม
ในขณะที่เมื่อคนในระบบประสังคมตกงาน แล้วยังไม่สามารถหางานใหม่ได้ ก็จะได้เงินจากรัฐไปประทังชีวิตสูงสุด 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาทเท่านั้น โดยไม่มีหลักประกันอื่นๆ เพิ่มอีก
[ เมื่อไร้สวัสดิการ การตกงาน = หายนะ ]
ในสังคมไทยยุคปัจจุบันมีการพูดถึง ‘สวัสดิการรัฐ’ มากขึ้นในฐานะส่วนสำคัญที่ช่วยให้พลเมืองสามารถข้ามผ่านช่วงเวลาที่ประสบปัญหาสูญเสียงานกะทันหันให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
ทว่า รศ.ดร.เก่งกิจ มองว่า ในประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำในสังคมสูง สวัสดิการจากรัฐไม่ได้มีประสิทธิภาพมาก ฉะนั้น การตกงานไม่ต่างอะไรกับหายนะ
โดยในปี 2565 แนวโน้มของคนตกงานก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานจะอยู่ในสภาวะดีดตัวจากผลของการย้ายฐานการผลิตและการบริหารจัดการของภาครัฐ
จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการและเศรษฐกิจของชาติ ชี้ให้เห็นว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 มีผู้ว่างงานสูงถึง 8.7 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 2.25 ซึ่งสูงสุดในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
“นโยบายด้านสวัสดิการทางสังคมควรจะมีอย่างเป็นระบบและครบวงจร ทุกวันนี้ไทยมีบัตรทองหรือประกันสังคมก็ได้รับการดูแล แต่ในฝั่งของผู้สูงอายุมีแค่เดือนละ 600 บาท ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต รวมถึงเด็กเกิดใหม่ก็จะกลายเป็นภาระของของพ่อแม่”
[ สังคมไทยไม่มีที่ให้ Work Life Balance ]
นอกจากนั้น สังคมไทยยังมีค่านิยมที่ยกให้ ‘งาน’ เป็นสิ่งที่นิยามตัวตน หรือ นิยามความภาคภูมิใจในชีวิต แน่นอนว่าเราทุกคนเคยได้ยินวลีฮิตอย่าง ‘Work Life Balance’ ว่า คนจะต้องมีสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิต
แต่ว่าภายใต้ค่านิยมของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ ‘การทำงานหนักและความภักดีต่อองค์กร’ และได้รับการเสริมแรงด้วย ‘การจ้างงานที่ไม่มั่นคง’ และกลายเป็นเงื่อนไขให้คนยังคงต้องทำงาน 5-6-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพของตัวเองและครอบครัว Work Life Balance เลยอาจเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักของโครงสร้างแรงงานไทย
[ ซึมเศร้าเพราะเราหรือเพราะสังคม ]
เมื่อพูดถึงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มีต่อผู้คนในสังคม รศ.ดร.เก่งกิจ อธิบายว่า ในทางสังคมศาสตร์เอง ‘สภาวะซึมเศร้า’ ถูกมองว่า เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคม โดยหลักใหญ่ใจความมาจากเรื่อง ‘ความมั่นคงในชีวิต’ และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุอย่างโครงสร้างระบบการจ้างงานและสวัสดิการทางสังคม
“คนวัยหนุ่มสาวจำนวนมากใช้จ่ายไปกับการเยียวยาทางจิตวิญญาณ การเยียวยาทางจิตใจเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้ตอบโจทย์รากฐานของปัญหาจริงๆ เพราะนี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ฉะนั้น ในท้ายที่สุดเมื่อเราพยายามจะกลายเป็นผู้ประกอบการ กลายเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแข่งขัน การเป็นคนที่ดีขึ้นในที่ทำงาน มันก็จะกลายเป็นความเฟล ตกตะกอนเป็นความป่วย เป็นความซึมเศร้า เป็นอาการ Burnout ที่เราโทษว่าเป็นปัญหาของปัจเจกบุคคลนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหามันไม่ใช่ปัญหาของปัจเจกบุคคลซะทีเดียว”
โดยทางแก้ปัญหาที่ รศ.ดร.เก่งกิจ เสนอคือ รัฐบาลหรือพรรคการเมืองจะต้องมีนโยบายที่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้ได้ เช่น การมีรัฐสวัสดิการ ที่เมื่อคนตกงานแล้ว เงินจากรัฐก็จะสามารถอุ้มชูชีวิตคนเหล่านี้ไปต่อได้ หากรัฐบาลไหน หรือพรรคการเมืองไหนไม่มีก็ถือว่าล้มเหลวในการตั้งนโยบายสาธารณะ
รับชม TOMORROW EP.103 | วิเคราะห์การทำงานยุคใหม่ ด้วยสายตาแบบสังคมวิทยา ได้ที่ https://youtu.be/JVIX_emNDHs










