ปิ้งย่างแข่งเดือด Yakiniku Like ลดราคา เพิ่มเมนู คอลแลปฯฟ้าไทย

ปิ้งย่างแข่งเดือด Yakiniku Like ลดราคา เพิ่มเมนู คอลแลปฯฟ้าไทย

ในยุคค่าครองชีพแพงขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในธุรกิจแรกๆ ที่จะเห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบแค่ไหนคือ ธุรกิจร้านอาหารที่พอจะบอกได้ชัดเจนถึงภาพรวมการบริโภคของกลุ่มชนชั้นกลางในประเทศ

และถ้ามาเจาะดูเข้าไปเฉพาะกลุ่มตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทยที่การแข่งขันสูงมาก ทั้งซูชิ ราเมน จนถึงยากินิกุที่มีผู้เล่นนับไม่ถ้วน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงนั้น ตอนนี้ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยได้รับผลกระทบแค่ไหน และต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง เพื่อให้อยู่รอดในยุคแข่งกันเดือดขนาดนี้?

TODAYBizview ชวนไปดูเคสของ Yakiniku Like ปิ้งย่างเตาเดี่ยวสัญชาติญี่ปุ่นที่เข้ามาในไทยแล้ว 4 ปี มีสาขากว่า 21  สาขา ซึ่งทางแบรนด์เล่าว่ายอดใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้าในปีนี้ปรับลดลง

ดังนั้นวิธีที่ใช้ตอนนี้ คือ ‘ปรับตัว’ เพื่อรักษาลูกค้าและขยายฐานลูกค้าด้วยการฟัง ‘ฟีดแบ็ค’ อาทิ การปรับเพิ่มเมนูใหม่เข้าไปเมื่อมีเสียงฟีดแบ็คว่า ‘เมนูน้อย’

การฟังเสียงลูกค้าและนำมาปรับยังไปไกลถึงการ ‘ปรับลดราคา’ เมื่อมีการสะท้อนว่ามีเมนูที่ราคาสูง ทางแบรนด์ได้มีการปรับลดราคา โดยที่ยังต้องคงความพรีเมียม 

ถามว่าวิธีนี้ทำแล้วเวิร์กแค่ไหน? ‘ทิพย์สุดา อเนกวัชรากรณ์’ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด YAKINIKU LIKE Thailand เล่าให้ฟังว่า ในปีที่แล้ว Yakiniku Like มียอดบิลซื้อของลูกค้าอยู่ที่ 360-370 บาทต่อคน แต่มาปีนี้เฉลี่ยลดลงมาเหลือที่ 350 บาทต่อคน ซึ่งแบรนด์ได้รับฟีดแบ็คจากลูกค้าในเรื่องราคาที่สูง จึงเริ่มปรับราคาเซ็ตเริ่มต้นให้ถูกลง โดยปรับราคาไปครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความสมดุล แต่การปรับราคานั้นไม่มากนักประมาณ 3-10% 

“ส่วนใหญ่จะปรับในส่วนของ Premium Meat แล้วหันไปควบคุมซัพพลายเออร์เอง แต่ก็ยอมรับว่าการปรับราคาอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ปีนี้ให้แตะ 700 ล้านบาท”

ในมิติของการขยายตัว Yakiniku Like เดินเกมแบบ “เล็กลงแต่โตขึ้น” ด้วยการลดขนาดร้านให้คล่องตัว เปิดได้หลายทำเลมากขึ้น และรักษาสัดส่วนจำนวนที่นั่งไม่ให้เกิน 60 ที่ รองรับทั้งลูกค้าเดี่ยวและกลุ่ม สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความรวดเร็วและเข้าถึงง่าย 

โดยตั้งเป้าปีหน้าจะขยายสาขาให้แตะ 30 แห่ง คาดการณ์ว่าการเติบโตปีหน้าจะเพิ่มขึ้นราว 20%

[ วิ่งตามเทรนด์คอลแลปฯ และหมาล่าที่ยังไม่เอ้าท์จากตลาด ]

‘ทิพย์สุดา’ อธิบายต่อว่า ล่าสุดแบรนด์ได้ทำการตลาดแบบ Collaboration ระหว่าง Yakiniku Like และฟ้าไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของทั้งคู่ในตลาดร้านอาหาร โดยเกิดจากความต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วงครบรอบ 4 ปีของแบรนด์ บนพื้นฐานงานวิจัยที่ชี้ว่า “รสหม่าล่า” เป็นรสชาติที่คนไทยนิยมมากที่สุด แบ่งออกเป็น 2 ซอสคือ Boss & Baby ที่มีความเผ็ดให้เลือกตามใจผู้บริโภค 2 ระดับ

ทำให้การรวมตัวครั้งนี้เป็นการผสานจุดแข็งที่ชัดเจนจาก “หมาล่าที่ถูกต้อง” ของฟ้าไทย กับ “ย่างแบบไร้ควัน” ของ Yakiniku Like เพราะระบบเตาดูดควันสองชั้นที่ช่วยให้ทานยากินิคุได้แบบไร้ควัน และนำจุดแข็งนี้มาตอบโจทย์ Pain Point ใหญ่ของตลาดหม่าล่า นั่นคือ “กลิ่นติดตัวหลังทาน” 

และแม้หม่าล่าจะดูเหมือนเป็นกระแสที่ซาลงไปแล้ว แต่พฤติกรรมการบริโภคจริงกลับยังเพิ่มขึ้น โดยกลายเป็นหนึ่งในรสชาติหลักของคนไทยในปัจจุบัน การจับเอารสชาติยอดนิยมนี้มารวมกับระบบไร้ควันของแบรนด์จึงเป็นการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากร้านทั่วไป

“การร่วมมือกันครั้งนี้ก็คาดหวังว่าสร้างการแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าระหว่างสองแบรนด์ และช่วยแก้ Pain Point เรื่องกลิ่นที่เป็นปัญหาใหญ่เวลาทานหม่าล่า โดยเฉพาะซอสสูตร Boss  แบบเผ็ดที่ขายดีเกินคาด”

โดยซอสหม่าล่านี้ฟ้าไทยทดลองมากกว่า 40 เวอร์ชัน และได้เวอร์ชันที่ถูกปาก ซึ่ง Yakiniku Like สาขาอื่นในเครือต่างประเทศเริ่มสนใจ และมีแผนนำสูตรนี้ไปสู่ตลาดเอเชียอย่างฮ่องกงและเวียดนาม  โดยแคมเปญซอสนี้เริ่มตั้งแต่ 31 ตุลาคมถึง 11 ธันวาคมประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสสูงที่แคมเปญนี้จะกลับมาอีกในปีหน้า

“นับเป็นครั้งแรกที่ Yakiniku Like ทำแคมเปญ Collaboration ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือร่วมกับ ฟ้าไทย ซึ่งไม่ใช่แค่แบรนด์เครื่องปรุงยอดนิยม แต่เป็นเหมือนพาร์ทเนอร์ที่ช่วยส่งเสริมความอร่อยให้กับอาหารของเรา และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้านั่นเอง”

แท็กที่เกี่ยวข้อง
AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง