ใครจะคิดว่า ‘เสื้อยืด’ ไม่มีลาย ไม่มีกิมมิคอะไรเยอะแยะ ทั้งยังมีจุดเริ่มต้นจากการขายแบกะดิน อยู่บนสะพานลอยมาก่อน ในวันนี้เรียกว่าประสบความสำเร็จบล้นหลามทั้งในแง่แบรนด์ดิ้ง, ฐานลูกค้า และเพื่อนในหลายวงการ ล่าสุดแบรนด์ ‘ยืดเปล่า’ ได้ทุบสถิติครั้งแรกด้วยยอดขายในปี 2567 แตะที่ 1,183 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าคือ 800 ล้านบาท)
จากที่เป็นแบรนด์เสื้อผ้าเบสิคที่มีรายได้ 2 หลักในปีแรกที่ก่อตั้ง พอเริ่มเข้าสู่ปีที่ 2 จนถึงปีที่ 5 ตัวเลขรายได้ค่อยๆ ขยับสู่เลข 3 หลักค่อนข้างเสถียรจากข้อมูลเปิดเผยของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์จากทีมงานยืดเปล่าเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ทำเอาหลายคนเริ่มค้นหาแบรนด์ยืดเปล่ามากขึ้น จากไวรัลข้ามคืนที่หลายสื่อเผยผลประกอบการบริษัท เริ่มใหม่ จำกัด ว่าเป็นครั้งแรกที่ธุรกิจเสื้อยืดเปล่ามีรายได้รวมทะลุ 1,000 ล้านบาท แต่กำไรเหลือเพียง 1 ล้านบาทถ้วน
[ เป้าคือ Economy of Scale แต่ตอนนี้เป็น Economy of Friend ]
โดยเนื้อหาในแถลงการณ์ได้พูดถึงเหตุผล และความคิดจากทีมงานยืดเปล่าอย่างตรงไปตรงมา ส่วนหนึ่งของใจความแถลงการณ์ได้อธิบายว่า “เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ทั้ง out of home media presenter เอย บิลบอร์ดเอย รถเมล์เอย อยากสนับสนุนสปอน festival ต่างๆ รันวงการ คอลแลป charity ต่างๆ ให้น้องๆ ได้มีเวที ได้มีโอกาส เหมือนที่เราเคยได้มา ลองเก่งไปหน่อยจนเกือบขาดทุน”
“เราภูมิใจที่อดทนต่อสิ่งเร้า และภูมิใจในทีมงานที่ตัดสินใจว่าอะไรก็ขึ้นได้ แต่เราไม่ขึ้นราคา ด้วยคุณค่าการทำงาน จิตวิญญาณของการทำสินค้าและบริการที่ดีที่สุดในกับลูกค้า”
ด้วยความลองทำสิ่งต่างๆ ที่ ‘ตอน – ทนงค์ศักดิ์ แซ่เอี้ยว’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีความเชื่อว่า อยากขายเยอะ แต่ก็อยากได้เพื่อนเยอะด้วย จึงทำให้ที่ผ่านมา ‘ยืดเปล่า’ มีมูฟเมนต์การตลาดแทบจะตลอดเวลา เพื่อเป้าหมายว่าวันหนึ่งจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘Economy of Scale’ แม้ว่าในวันนี้ยืดเปล่าประเมินตัวเองว่า ยังอยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘Economy of Friend’ เพราะยืดเปล่าได้เพื่อนเพิ่มเยอะขึ้นจริงๆ จากการไต่ระดับรายได้สู่พันล้านนี้

[ จากขายบ็อกเซอร์ มาเป็นเสื้อยืด ]
สตอรี่ไม่ธรรมดา แนวคิดเชิงการตลาดก็ไม่ธรรมดา มีหลายครั้งที่ ตอน – ทนงค์ศักดิ์’ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเส้นทางธุรกิจของเขา และจุดเริ่มต้นก่อนที่ตัวเองจะผันมาเป็นผู้ประกอบการเต็มตัว
เรียกว่าเขาเป็นเด็กช่างที่ค่อนข้างเกเรคนหนึ่งของรุ่น ด้วยความเป็นลูกพ่อค้า จึงเห็นลู่ทางการทำเงินและมองเป็นเรื่องค้าขายไปเสียหมด เขาเล่าถึงชีวิตตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองเกิดและโตในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก เห็นพ่อขายหมูตั้งแต่เด็กๆ และตัวเขาเองก็เริ่มต้นขายของตั้งแต่อายุได้เพียง 19 ปี เพราะต้องหาเงินส่งตัวเองเรียน
“ช่วงแรกๆ ผมก็หาของจากตลาดโรงเกลือมาขาย พวกกางเกงบ็อกเซอร์ของผู้ชาย ถ้านับปัจจุบันก็เป็นพ่อค้ามาแล้ว 10 ปี ช่วงนั้นลองผิดลองถูกมาตลอด ช่วงที่เริ่มขายแรกๆ ก็ตั้งตัวแค่ 8,000 บาท เป็นเงินเก็บตัวเองจริงๆ แค่ 3,000 ที่เหลือยืมคุณแม่”
“ผมเริ่มขายของตั้งแต่ที่ไม่มีเงิน เปลี่ยนที่ขายไปเรื่อยๆ ตั้งแต่บนสะพานลอย, ตลาดนัดหน้ามหาลัยรามคำแรง จนขยับขยายมาขายเสื้อตัวละ 100 บาท ในตลาดจตุจักร”
ที่มาง่ายๆ เลยของการเริ่มขาย ‘เสื้อยืด’ เพราะส่วนตัว ตอน – ทนงค์ศักดิ์ เป็นคนชอบใส่เสื้อยืด แต่งตัวชิวๆ ง่ายๆ แต่ก็เจอปัญหาตลอดเวลาที่ไปซื้อเสื้อยืดร้านอื่น คือ ไม่พอดีตัว ไม่มาตรฐาน เพราะเขาเป็นคนสูงมาก แต่รูปร่างผอม ทำให้เสื้อยืดไม่พอดีตัว ต้องซื้อไซซ์เผื่อเพื่อไม่ให้ชายเสื้อมันลอย
pain point เหล่านี้ทำให้เขาเริ่มคิดอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองสนใจนี่แหละ เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์และทำความรู้จักลูกค้าอยู่ 2-3 ปี จากนั้นก็ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของแบรนด์ ในชื่อว่า ‘Yuedpao’ (ยืดเปล่า)

[ แบรนด์ 5 ปี โต 100% ตลอด ]
ต้องพูดว่า 5 ปีของเสื้อยืดเปล่า อาศัยการตลาดที่ใช้ความเกรียนเข้าสู้ รวมทั้งการ collaboration กับอีเวนต์หรือธุรกิจที่มีโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนเยอะๆ หนึ่งในนั้นก็คือ Cat Expo คอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยวัยรุ่น ซึ่งแน่นอนว่าเสื้อยืดคือประเภทเครื่องแต่งกายส่วนใหญ่ของกลุ่มเหล่านี้
สโลแกนเกรียนๆ ที่จำได้ขึ้นใจของยืดเปล่า “ยืดแต่ไม่ย้วย” กลายเป็นสีสันและความคึกคักของตลาดเสื้อยืด ซึ่งส่วนใหญ่ในตลาดจตุจักรแม้จะมีเจ้าตลาดที่ขายเสื้อยืดอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครทำแบรนด์จริงจัง จึงทำให้ ‘ยืดเปล่า’ เกิดไอเดีย + สโลแกนที่พูดมานั้นเพื่อซื้อใจผู้บริโภควัยรุ่น
ตอน – ทนงค์ศักดิ์ ได้เล่าว่า กว่าจะเป็นเสื้อโปโล ซึ่งเป็นเฟส 2 ของแบรนด์ยืดเปล่า ใช้ความพยายามมาหนักมากประมาณ 300 ครั้ง ทั้งพัฒนา ปรับปรุง เรียนรู้ วนอยู่แบบนั้นจนเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ความทุ่มเทจากวันแรกๆ ที่โฟกัส ผ่านมา 5 ปี ทำให้แบรนด์ยืดเปล่า กลายเป็นธุรกิจเสื้อยืดที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งที่ไม่ใช่สินค้าแฟชั่นด้วยซ้ำไป แต่กลับมีรายได้เพื่อมขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2562
ข้อมูลรายได้รวม 5 ปีย้อนหลังของ ‘ยืดเปล่า’ จาก data creden น่าจะเห็นวิวัฒนาการที่ดีของธุรกิจนี้ได้
- ปี 2563 รายได้ 117 ล้านบาท กำไร 1.7 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 218 ล้านบาท กำไร 1.8 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 506 ล้านบาท กำไร 18 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 802 ล้านบาท กำไร 74 ล้านบาท
- ปี 2567 รายได้ 1,183 ล้านบาท กำไร 1.1 ล้านบาท
ตอน – ทนงค์ศักดิ์ ได้แชร์ว่า “ตลาดเสื้อโปโล ยังเป็นตลาดที่กว้างมากๆ และมีโอกาสอีกมาก สำหรับยืดเปล่าเรามองว่า ถ้าเสื้อยืดคือวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ เสื้อโปโล ก็จะขยาย range ของตลาดที่ครอบคลุมมากขึ้น เพราะใส่ได้ทุกกลุ่ม และใช้ได้ในหลายโอกาส”
ปัจจุบัน ยืดเปล่า เติบโตกว่าเดิมมากเพราะไม่ได้มีแค่ เสื้อยืด เสื้อโปโล แต่มีทั้งกางเกง กระเป๋า ถุงเท้า ฯลฯ positioning แบรนด์ที่ปรับจูนใหม่ให้เข้ากับผู้บริโภคยุคนี้มากขึ้น ถือว่าเป็นการเรียนรู้ตลาดและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างดี

[ เปลี่ยนแนวคิดให้เป็น ‘จุดแข็ง’ ]
จากสิ่งที่ ตอน – ทนงค์ศักดิ์ ได้แชร์ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อก่อนหน้านี้ เขามีแนวคิดหลายอย่างที่เป็นเชิงธุรกิจ เมื่อแปลงมาเป็น ‘กลยุทธ์’ ในการต่อสู้ตลาดซึ่งเป็น red ocean ณ ตอนนี้ ถือว่าเป็นมุมมองที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับธุรกิจอื่นได้ไม่มากก็น้อย
ตัวอย่าง สิ่งที่ตกผลึกจากผู้ก่อตั้งแบรนด์ยืดเปล่าได้ เช่น
- ไม่กังวลที่ยืดเปล่าเข้ามาเป็นน้องใหม่ในตลาด และมีเจ้าตลาดอยู่แล้ว เพราะเราฟังเสียงลูกค้าตลอด เราคิดว่าตัวเองเป็นชอยส์ให้กับผู้บริโภคมากกว่า
- เลือกวิธีการซื้อใจ และสร้าง loyalty ลูกค้า ด้วยการส่งเสื้อที่ถูกต้องให้ลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องส่งเสื้อคืน (กรณีทางร้านส่งสินค้าผิดสี, ผิดไซซ์, ไม่ตรงกับความคาดหวัง)
- ห้างสรรพสินค้า ยังถือว่าเป็น community ที่คนไทยยังมาเดิน อย่างน้อยๆ ก็มาทานอาหาร ซึ่งการเปิดร้านในห้างยังจำเป็นและน่าสนใจสำหรับยืดเปล่า
- ปัจจุบันมียืดเปล่า 69 สาขา แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกจังหวัด เป้าหมายระยะสั้นคือ 70 สาขา
- ยืดเปล่าเปิดร้านใน ‘ห้าง’ เป็นสัดส่วนใหญ่ 56 ร้านสาขา, และ 3 แห่งยังอยู่ในตลาดนัดจตุจักร นอกจากนี้ยังมีร้านเสื้อยืดเปล่าบน BTS (สถานีรถไฟฟ้า) 2 จุดสาขาที่จะเปิดใหม่ในต่างจังหวัด ยังคงเป็นในห้างฯ ดังนั้น บทบาทของห้างฯ กับคนไทยคงไม่หายไปไหนง่ายๆ
เรื่องราวของเจ้าของแบรนด์ ‘ยืดเปล่า’ ชวนให้คิดต่อว่า จริงแล้วความเกเร หรือไลฟ์สไตล์ส่วนตัวอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จได้ หากคุณปรับตัว และมีมุมมองเรื่องธุรกิจในทางที่ถูกต้อง อย่างที่ ตอน – ทนงค์ศักดิ์ ทำตั้งแต่ที่เขาอายุเพียง 19 ปี
ซึ่งความอดทน และเพียรพยายาม กลายเป็นคีย์ความสำเร็จของนักธุรกิจหลายคน นี่แหละสำคัญยิ่งกว่า เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยจุดไฟแห่งการทำธุรกิจให้คนอ่านได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็สร้าง passion บางอย่างในตัวคุณได้










