รู้จัก ‘Zeigarnik Effect’ จิตวิทยาที่ทำให้เรา ค้างคาใจเวลาดูละคร

รู้จัก ‘Zeigarnik Effect’ จิตวิทยาที่ทำให้เรา ค้างคาใจเวลาดูละคร

หลายคนน่าจะเคยดูละครหรือคอนเทนต์ที่มีตอนจบในแบบที่ ‘ค้างคาใจ’ ผ่านตากันมาบ้าง เช่น 

        • ละครสั้นจีน ชอบตัดจบแบบจงใจให้คนดูค้างคาใจ  
        • ซีรีส์เกาหลี หลายเรื่องชอบตัดตอนเนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น 
        •  หนังที่มีภาคต่อ จงใจทิ้งปมบางอย่างไว้โดยไม่เฉลย 

รู้ไหมว่าสาเหตุที่ละครหรือคอนเทนต์เหล่านี้ชอบให้คนดูรู้สึกค้างคาใจเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เนื้อหามีโอกาสติดอยู่ในหัวของคนดูนานขึ้น ? 

ปรากกฏการณ์นี้เรียกว่า ‘Zeigarnik effect’ หลักจิตวิทยาเก่าแก่ที่ถูกค้นพบ ตั้งแต่ปี 1927 แต่ยังถูกเอามาใช้จนถึงปัจจุบัน รายละเอียดจะเป็นอย่างไร ? TODAYBizview จะเล่าให้ฟัง 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1927 ‘Bluma Zeigarnik’ นักจิตวิทยาเชื้อสายลิทัวเนีย ได้สังเกตเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟอาหารจะสามารถจดจำ ‘รายการอาหารที่ยังไม่ได้ชำระเงิน’ ได้ดีกว่า ‘รายการอาหารที่ชำระเงินแล้ว’ แบบเห็นได้ชัด จนเกิดเป็นข้อสันนิฐานว่าจริงๆ แล้วคนเราจะมีแนวโน้มจำเรื่องที่ “ไม่สมบูรณ์” ได้ดีกว่าเรื่องที่ “เสร็จสมบูรณ์” ไปแล้วจริงๆ ไหม ? 

เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ Bluma Zeigarnik ได้ทำการทดลองด้วยการให้อาสาสมัคร 2 กลุ่ม มาทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องใช้สมองรวมกันประมาณ 22 ชุด เช่น การพับกระดาษ การคูณเลข การวาดภาพ หรือ การนับถอยหลัง 

โดยอาสาสมัครกลุ่มแรกจะถูกปล่อยให้ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ จนจบ ส่วนอีกกลุ่มจะถูก ‘ขัดจังหวะ’ ด้วยการขอให้ไปทำงานอื่น 

ก่อนจะถามอาสาสมัครว่าพวกเขาจำรายละเอียดต่างๆ ของกิจกรรมไหนได้บ้าง ? 

ผลคืออาสามัครจะมีแนวโน้มจำกิจกรรม “ที่ถูกขัดจังหวะ” ได้ดีกว่าถึงสองเท่า และที่น่าสนใจคือ ยิ่งกิจกรรมถูกขัดจังหวะตอนใกล้จบมากแค่ไหน อาสาสมัครจะยิ่งจำกิจกรรมนั้น ๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย ก่อนเรื่องนี้จะกลายมาเป็นที่มาของหลักจิตวิทยาที่ชื่อว่า “Zeigarnik effect” ซึ่งตั้งชื่อตามผู้คิดค้นนั่นเอง 

โดยในปัจจุบันหลักจิตวิทยาตรงนี้ได้ถูกเอาไปประยุกต์ใช้กับงานที่เกี่ยวกับการเล่าเรื่อง รวมถึงงานด้านการตลาดหลาย ๆ อย่าง ยกตัวอย่างเช่น 

การใช้เทคนิค “Cliffhanger” หรือ “การเล่าเรื่องแบบคนโหนหน้าผา” มาใช้สร้างความค้างคาใจให้คนดูเกิด Zeigarnik Effect

อธิบายคำว่า Cliffhanger ง่าย ๆ การเล่าเรื่องให้เหมือนกับว่า มีคนกำลังห้อยตัวอยู่ริมหน้าผาแล้วตัดจบ เพื่อให้คนอยากรู้ว่าคนนั้นระรอดหรือร่วง 

พูดง่าย ๆ คือ เป็นการเล่าเรื่องที่จงใจตัดจบเนื้อหาช่วงที่กำลังถึงจุดพีคของเรื่อง 

โดยเราจะเห็นเทคนิคการเล่าเรื่องแบบนี้ได้บ่อยใน “ละครสั้นจีน” ที่มักจะใช้หลักการตรงนี้มาช่วยสร้างรายได้ให้แพลตฟอร์ม ด้วยการปล่อยบางส่วนของละครให้คนสามารถดูได้ฟรี ๆ ผ่าน ฟีดโซเชียลมีเดีย TikTok, Reels หรือ แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอื่น ๆ 

ซึ่งตอนที่ละครแนวนี้ปล่อยให้ดูฟรีจะมีเนื้อหาคล้าย ๆ กันคือ จะมีการตัดจบตอนในจุดพีคของเรื่องเพื่อให้คนดูคาใจ 

ยกตัวอย่างเช่น พระเอกจริง ๆ แล้วเป็นคนรวย แต่ไม่เปิดเผยตัวตน โดยตลอดทั้งเรื่องจะโดนฝ่ายตัวร้ายกลั่นแกล้ง และดูถูกสารพัด แต่พอถึงฉากที่พระเอกจะเฉลยตัวจริง ต่อหน้าตัวร้าย ตัวหนังจะถูกตัดจบตอน แบบคาใจสุด ๆ เพื่อให้คนอยากดูต่อ

ก่อนแพลตฟอร์มจะเสนอตัวเลือกให้ลูกค้าจ่ายเงินเพื่อดูตอนต่อไปนั่นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คนน่าจะเห็นภาพจิตวิทยา Zeigarnik Effect ตรงนี้ชัดขึ้นแล้วว่ามันทำงานอย่างไร 

และรู้ไหมว่าหลักการตรงนี้ ถูกเอาไปประยุกต์ใช้กับงานด้านคอนเทนต์อื่น ๆ อีกหลายแบบมาก ๆ แต่เราอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น 

        • เพจต่าง ๆ โพสต์ด้วยข้อความแบบ Click Bait​ เช่น ดาราตัวย่อ “ก” แอบมีความสัมพันธ์กับสาวนอกวงการ เพื่อกระตุ้นให้คนค้างคาใจ จนต้องกดเข้าไปอ่าน 
        • เว็บไซต์สมัครงานมักจะมีแถบสถานะของการกรอกข้อมูลส่วนตัวโชว์ให้เห็น เช่น “คุณกรอกข้อมูลมาแล้ว 76% รีบทำต่อให้เสร็จ”เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลให้ละเอียดที่สุด  

สุดท้ายนี้ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ..

ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Vagabond เจาะแผนลับเครือข่ายนรก มีการใช้ฉากจบแบบ Cliffhanger มาสร้างความค้างคาใจให้คนดู โดยซีรีห์เรื่องนี้ออกอากาศครั้งแรก ตอนปี พ.ศ. 2562 หรือเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แต่ทุกวันนี้ผู้คนยังพูดถึงซีรีส์เรื่องนี้ และตามหาภาคต่อกันอยู่เลย เป็นตัวอย่างที่ดีมากว่าถ้าสามารถทำให้คนดูเกิด Zeigarnik Effect ได้แล้ว เนื้อหานั้นจะติดอยู่ในใจของคนดูได้นานมาก

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง