
ภาพจาก nan.ng
เหตุชุมนุมประท้วงในนิการากัว มีผู้เสียชีวิตแล้ว 121 ราย บาดเจ็บกว่า 1,300 คน ขณะที่รองประธานาธิบดีเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเจรจาหาทางออกกัน
ศูนย์สิทธิมนุษยชนนิการากัวเปิดเผยว่า การชุมนุมประท้วงขับไล่และสนับสนุนนายดาเนียล ออร์เตกา ประธานาธิบดีนิการากัว ที่กรุงมานากัว เมืองหลวงและอีกหลายเมืองทั่วประเทศ ซึ่งได้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงกับตำรวจ รวมทั้งการเผชิญหน้ากันเองระหว่างประชาชนที่เห็นต่างกันทั้งสองฝ่าย ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 121 ราย ขณะที่ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวสูงถึง 1,300 คน

กลุ่มผู้ประท้วงปะทะกับตำรวจปราบจลาจลในเมืองโมนิมโบ /AFP
ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (4 มิ.ย.) นางโรซาริโอ มูริลโล ภริยาประธานาธิบดีออร์เตกา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีแห่งนิการากัว ได้เรียกร้องผ่านสื่อของรัฐบาลว่า ขอให้ทุกฝ่ายเจรจากันเพื่อหาทางออกกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น
“เราต้องการความสงบสุข เราต้องการพูดคุยเจรจา เราต้องการทำงานร่วมกัน และรับฟังซึ่งกันและกัน เพราะทุกอย่างมีทางออก” พร้อมกล่าวต่อว่า “อย่าให้ความสูญเสียมาสร้างความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานในครอบครัวของเรา” รองประธานาธิบดีมูริลโล กล่าว

ดาเนียล ออร์เตกา ปธน.นิการากัว และโรซาริโอ มูริลโล ภริยา ที่ดำรงตำแหน่ง รอง ปธน.นิการากัว /AFP
ขณะที่คริสตจักรซึ่งพยายามไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในนิการากัวระบุว่า การเจรจาระหว่างกันคงยังไม่เป็นผล หากประชาชนยังถูกปราบปรามและสังหารโดยกลุ่มสนับสนุนรัฐบาล
สำหรับเหตุการณ์ประท้วงในนิการากัวที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนเมษายน บัดนี้ส่งผลให้มีผู้คนล้มตายไปแล้วหลายร้อยราย โดยชนวนเหตุเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีออร์เตกา พยายามผลักดันการปฏิรูปกฎหมายจ่ายเงินบำนาญ โดยเพิ่มรายจ่ายอุดหนุนของนายจ้างและลูกจ้าง อีกทั้งยังลดสิทธิประโยชน์ผู้รับบำนาญลง เนื่องจากรัฐบาลหวังจะลดการขาดดุลมูลค่า 76 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.4 พันล้านบาท ของหน่วยงานที่ดูแลบริหารจัดการเงินบำนาญของรัฐลง
ด้านนายออร์เตกา วัย 73 ปี ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนิการากัวมานานถึง 11 ปี ยังคงยืนยันไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่าประชาชนจำนวนมากจะออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่
ข่าวเกี่ยวข้อง









