เมื่อ ‘ซูเปอร์แมน’ กลายเป็น ‘ผู้พิการ’ สารคดีชีวิต ‘Christopher Reeve’ ว่าด้วยความหมาย ของการมีลมหายใจ

เมื่อ ‘ซูเปอร์แมน’ กลายเป็น ‘ผู้พิการ’ สารคดีชีวิต ‘Christopher Reeve’ ว่าด้วยความหมาย ของการมีลมหายใจ

จะเป็นอย่างไร หากซูเปอร์แมนที่เคยคล่องแคล่วกว่าใคร กลับต้องพึ่งพาเก้าอี้สองล้อ

หากถามถึงซูเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุด เชื่อว่า ‘ซูเปอร์แมน (Superman)’ น่าจะเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง ชายรูปร่างกำยำในผ้าคลุมไหล่สีแดง ประดับสัญลักษณ์รูปตัวเอส พร้อมกางเกงในทรงสวยพิเศษ ที่ทาบทับอยู่บนชุดรัดรูปสีน้ำเงินคราม คือภาพที่ผู้คนชินตา แม้ว่าจะไม่ใช่แฟนคลับของการ์ตูน หรือภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ก็ตามที

“นั่นนกเหรอ? ไม่ใช่!… นั่นเครื่องบินเหรอ? ไม่ใช่!… นั่นซูเปอร์แมน!” คือสโลแกนเปิดตัวซีรีส์สุดคลาสสิค The Adventures of Superman ซึ่งตอกย้ำความสามารถเหนือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ว่องไวกว่ากระสุน พละกำลังที่มหาศาลเหนือหัวรถจักรไอน้ำ ลำแสงเลเซอร์จากดวงตา และที่ขาดไม่ได้ พลังเหาะเหินเดินอากาศ ที่ส่งให้เขาเด่นสง่าบนฟ้ากว้าง พร้อมบินโฉบไปปราบเหล่าร้าย และช่วยเหลือทุกคนที่ตกอยู่ในอันตราย

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพียงเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการ เหตุการณ์เหนือจริงทุกอย่าง ต่างเป็นเพียงสิ่งสมมติบนหน้าหนังสือการ์ตูน และบนจอภาพยนตร์ โลกความจริงไม่มีฮีโร่พลังพิเศษ ไร้ซึ่งบุรุษเหล็กนามซูเปอร์แมน ชายที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไร้เทียมทาน ล้วนถูกรับบทโดยนักแสดงผู้มีเลือดเนื้อ ไม่ต่างจากเราทุกคน

คำถามคือจะเป็นอย่างไร หากนักแสดงเจ้าของบทซูเปอร์แมน หนึ่งในตัวละครที่โด่งดัง และแข็งแกร่งที่สุดบนดาวโลก ประสบอุบัติเหตุ จนกลายเป็นอัมพาต และต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจไปตลอดชีวิต

ที่ว่ามานี้ คือเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าใน Super/Man: The Christopher Reeve Story สารคดีตีแผ่ชีวิต ทั้งในวันชื่นคืนสุข และในเดือนทุกข์ปีเศร้าของ คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) นักแสดงมากฝีมือผู้รับบทนำในภาพยนตร์ Superman ฉบับปี 1978 ของผู้กำกับ ริชาร์ด ดอนเนอร์ (Richard Donner) ที่ประสบความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ จนมีภาคต่อตามมาอีก 3 ภาค (แม้ภาค 3 และ 4 อาจไม่เป็นที่จดจำในหมู่คอหนัง และนักวิจารณ์มากนัก)

ภาพจาก HBO

ในขณะที่ชีวิตส่วนตัวกำลังไปได้สวย เส้นทางอาชีพก็ยังอีกยาวไกล คริฟโตเฟอร์ ในวัยเพียง 42 กลับต้องเผชิญอุบัติเหตุที่เลวร้าย ยิ่งกว่าพิษของแร่คริปโตไนต์ในโลกซูเปอร์แมน คุณพ่อลูกสามพลัดตกจากหลังม้า กีฬาซึ่งเขาโปรดปรานเหนือสิ่งใด การร่วงหล่นบดทำลายกระดูกสันหลังบริเวณคอ ไขสันหลังของเขาบาดเจ็บรุนแรง เป็นเหตุให้เจ้าของบทซูเปอร์แมนที่ประสบความสำเร็จสูงสุด กลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงคอจนถึงท่อนล่าง ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อให้มีชีวิตรอด

จากภาพผ้าคลุมไหล่สีแดงที่พัดพลิ้วตามแรงลมทุกครั้งที่โบยบินในภาพยนตร์ คริฟโตเฟอร์ รีฟ ในโลกความจริง กลายเป็นผู้พิการที่ ลุกขึ้นยืนไม่ไหว แทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในปี 1995 กระตุ้นต่อมน้ำตาคนทั่วโลก ไม่มีใครคาดคิดว่า นักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครผู้ทรงพลัง สร้างความหวัง และคอยช่วยเหลือผู้อื่น จะผู้เคราะห์ร้ายเช่นนี้ แพทย์เจ้าของไข้อธิบายอาการบาดเจ็บของรีฟว่า “Very, very, very bad” หรือก็คือ “มันเลวร้ายแบบสุดๆ” อันที่จริง มันเลวร้ายถึงขั้นที่แม่ของเจ้าตัวเสนอให้แพทย์ยุติการรักษาเลยด้วยซ้ำ

ทีแรกคริฟโตเฟอร์เห็นด้วยกับผู้เป็นแม่ หากต้องมีชีวิตโดยเป็นภาระของผู้อื่น เขาเลือกยุติการใช้ชีวิตตั้งแต่วันนี้เสียดีกว่า

ทว่า คำพูดของภรรยาอย่าง เดนา รีฟ (Dana Reeve) เปลี่ยนทุกอย่าง และหลังจากวันนั้น คริสโตเฟอร์ รีฟก็ไม่ได้เป็นเพียงฮีโร่ในโลกภาพยนตร์อีกต่อไป เขากลายเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตจริงให้แก่ผู้คนนับล้าน เหตุการณ์ที่เขาเผชิญพาทุกคน รวมถึงตัวเขาเองกลับไปทบทวนความหมายของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว พลางเชื้อเชิญให้ตั้งคำถามว่า คุณค่าของการใช้ชีวิตคืออะไร

และต่อจากนี้ไป ขอเชิญทุกคนพบกับ 3 คุณค่าที่สารคดีชีวิตคริสโตเฟอร์ รีฟส่งมอบแก่เราทุกคน

ภาพจาก HBO

***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของสารคดี Super/Man: The Christopher Reeve Story***

[คุณค่า… หากเกิดมาภายใต้เงื่อนไขทางร่างกาย]

หลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หัวใจของคริฟโตเฟอร์ รีฟหยุดเต้นไป 2 ครั้ง พยาบาลบอกว่า โอกาสรอดชีวิตของเขา คือ 50-50 และต่อให้รอด เขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือแบบผู้ป่วยอัมพาตท่อนล่างอย่างแน่นอน ไม่มีปาฏิหาริย์ให้คาดหวังจากเทคโนโลยีการแพทย์ปี 95 มากกว่านั้น

“ผมนอนราบ ตัวแข็งทื่อ เอาแต่คิดถึงเรื่องที่เลวร้ายที่สุด คิดซ้ำๆ ว่าผมทำลายชีวิตตัวเอง ทำลายชีวิตคนอื่นๆ ผมเล่นสกีไม่ได้ ล่องเรือไม่ได้ ร่วมรักกับภรรยาไม่ได้ ขว้างบอลให้ลูกไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง”

คริสฯ ตัดพ้อต่อโชคชะตาอันโหดร้าย เขาไม่มีแรงใจ เป้าหมาย หรือแม้แต่เหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่

“เดนาเข้ามาในห้อง เธอคุกเข่าลงข้างผม เราสบตากัน แล้วผมก็ทำปากพูดคำแรกกับเธอ ‘บางทีเราน่าจะปล่อยให้ผมตาย’ เดนาร้องไห้ ก่อนจะพูดว่า ‘ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียว ฉันจะสนับสนุนไม่ว่าคุณอยากทำอะไร เพราะนี่คือชีวิตคุณ คือการตัดสินใจของคุณ แต่ฉันอยากให้คุณรู้ไว้ว่า ฉันจะร่วมฝ่าฟันไปกับคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม’ แล้วเธอก็พูดคำที่ช่วยให้ผมมีชีวิตต่อไป ‘คุณยังเป็นคุณคนเดิม และฉันรักคุณ’”

คริสฯ เล่าว่า ภรรยาของเขาเอ่ยประโยคทั้งหมด โดยปราศจากความลังเล แม้เสียใจ ร้องไห้ แต่ก็ไม่หลบตา เขาสัมผัสได้จากก้นบึ้งของหัวใจว่า เธอเชื่อและคิดแบบนั้น เธอไม่ได้พูดมันเพียงเพราะต้องการปลอบประโลม หรือคำนึงถึงหลักศีลธรรม คำพูดของเดนาช่วยให้คริสฯ อยากอยู่ต่อ มันช่วยพยุงร่างกายซึ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวให้อยากมีชีวิต แม้กายไม่อาจลุกยืน แต่ใจของเขาพร้อมตามหาเป้าหมายและคุณค่าของการมีชีวิตในฐานะผู้พิการ

ภาพจาก HBO

สารคดีฉายภาพการสร้างคุณค่าในฐานะผู้พิการของคริสฯ เขาเป็นตัวแทนสื่อสารให้โลกเห็นความสำคัญของผู้พิการ อย่างที่อาจจะไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ขณะเดียวกัน เขายังได้เรียนรู้ว่า ยังมีผู้พิการมากความสามารถซุกซ่อนอยู่มากมาย เพียงแต่แสงไฟไม่เคยสาดส่องไปถึง

ชายเจ้าของบทซูเปอร์แมนได้เป็นเพื่อนกับ บรูค เอลลิสัน (Brooke Ellison) นักศึกษาหญิงผู้เป็นอัมพาตท่อนล่าง ทว่า ข้อจำกัดทางร่างกายไม่ใช่อุปสรรคต่อการศึกษาในสิ่งที่เธอรัก

แม้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจกับรถเข็น บรูคผู้มีความรู้เป็นเลิศ พร้อมด้วยการสนับสนุนจากครอบครัวและมหาวิทยาลัย ได้เข้าเรียนที่ฮาวาร์ด ก่อนจบการศึกษาทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ เพื่อนคนนี้ทำให้ทั้งคริสฯ และผู้ชมเข้าใจว่า เรายังมีคุณค่าในทางใดทางหนึ่งเสมอ แม้ต้องเจออุปสรรคก็ใช่ว่าเราจะทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ ที่สำคัญ เราจะยังเป็นเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และต่อให้ต้องใช้ชีวิตบนรถเข็น คริสโตเฟอร์ก็สามารถสอนลูกชายคนเล็กปั่นจักรยานได้อย่างไม่น่าเชื่อ

[คุณค่า… ของคำว่าฮีโร่]

หนึ่งในเรื่องราวที่เราประทับใจที่สุดใน Super/Man: The Christopher Reeve Story คือ ตอนที่สารคดีเล่าถึงเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งล้มเหลวในการพยายามเลิกใช้เครื่องช่วยหายใจ ทั้งคุณหมอและพ่อแม่พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาลองอีกครั้ง ทว่า เด็กน้อยกลัวจับใจ เขาไม่อยากจะล้มเหลวอีก

แต่แล้วชายเจ้าของบทซูเปอร์แมน ที่เพิ่งเลิกใช้เครื่องช่วยหายใจได้สำเร็จ ก็เข้าไปคุยกับเด็กคนนั้น ไม่นาน เด็กชายก็บอกกับทุกคนอย่างแน่วแน่

“คริสโตเฟอร์ รีฟมาคุยกับผม ผมจะเลิกใช้เครื่องฯ”

ภาพจาก HBO

การพบกันเพียงไม่กี่นาที และการพูดคุยแค่ไม่กี่พยางค์ เปลี่ยนชีวิตของเด็กชายไปตลอดกาล

หลายคนเชื่อว่า คริฟโตเฟอร์ รีฟได้แรงบันดาลใจจากตรงนั้น และไม่มากก็น้อย มันทำให้เขาผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องเงินทุนวิจัยการฟื้นฟูไขสันหลัง เขากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของผู้ที่เป็นอัมพาต จนถูกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้พิการจำนวนไม่น้อย ‘ถูกมองเห็น’ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเพราะคริฟโตเฟอร์ รีฟ

“ช่วงที่ซูเปอร์แมนภาคแรกออกฉาย เรื่องที่ผมถูกถามบ่อยๆ คือ ‘ฮีโร่คืออะไร’ ตอนนั้นผมมักจะตอบไปว่า ฮีโร่ คือ ใครสักคนที่ตั้งใจจะทำสิ่งที่กล้าหาญ โดยไม่เกรงกลัวต่อผลที่ตามมา ทว่าตอนนี้ คำตอบของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าฮีโร่คือคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความเข้มแข็ง พยายาม และอดทน แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่สาหัสเกินรับไหว”

คำสัมภาษณ์ของคริสฯ สะท้อนว่า เขาตีความคำว่าวีรบุรุษต่างไปจากเดิม ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องคงอยู่เพียงในโลกภาพยนตร์อีกต่อไป เพราะฮีโร่คือใครก็ได้ที่มุ่งมั่นตั้งใจใช้ชีวิต

ดังนั้น กระทั่งเด็กชายที่กล้าหาญพอจะลองหยุดใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือนักศึกษาอย่างบรูคที่อดทน และพยายามจนถึงฝั่งฝันด้านการศึกษา เขาและเธอต่างก็เป็นฮีโร่ ผู้สร้างแรงบันดาลใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ในเดือนมีนาคม ปี 2009 ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในเวลานั้นอย่าง บารัค โอบามา (Barack Obama) ได้ลงนามในพระราชบัญญัติ Christopher and Dana Reeve Paralysis Act กฎหมายฉบับแรกที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของอเมริกันชนผู้เป็นอัมพาต จากชื่อคงคาดเดาได้ไม่ยากว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากความมุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อสิทธิผู้พิการของทั้งคริสฯ และเดนา ความตั้งใจของทั้งคู่สอดคล้องกับที่สองผู้กำกับของสารคดีอย่าง เอียน บอนโฮต (Ian Bonhôte) และ ปีเตอร์ เอ็ตเทดกี (Peter Ettedgui) ให้สัมภาษณ์กับ Collider ไว้

“เขาคือซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนจอภาพยนตร์ และเขาก็คือคนคนเดียวกัน คนที่หลังจากเผชิญอุบัติเหตุอันน่าเศร้า ก็กลายเป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตจริง”

[คุณค่า… ในฐานะมนุษย์]

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก บ้านของคริฟโตเฟอร์ รีฟห่างไกลจากคำว่าอบอุ่น ครอบครัวของเขาตรงข้ามกับภาพครอบครัวในอุดมคติโดยสิ้นเชิง เด็กชายที่จะโตมาเป็นซูเปอร์แมนไม่มีโอกาสได้เห็นต้นแบบของสามีที่ดี พ่อที่เอาใจใส่ ตลอดจนหัวหน้าครอบครัวที่ห่วงใยคนรอบข้าง พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างและแต่งงานใหม่หลายต่อหลายครั้ง

ข้ามมาช่วงวัยรุ่น แม้ไม่อาจฟันธงว่าเป็นผลพวงจากชีวิตวัยเยาว์ คริสฯ มีพฤติกรรมการเป็นผู้นำครอบครัวที่ไม่ดีนัก ลูกชายคนโตกล่าวในสารคดีว่า ผู้เป็นพ่อเดินทางไปเล่นสกีกับเพื่อน ทั้งที่ลูกชายเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงวันเดียว อย่างไม่อ้อมค้อม

คริฟโตเฟอร์ รีฟ ที่กำลังโด่งดังสุดขีดจากการรับบทซูเปอร์แมนไม่ใช่พ่อที่ดีนัก อาจไม่ถึงขั้นละเลยภรรยากับลูกๆ แต่ก็ไม่เคยให้เวลากับสมาชิกครอบครัวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขายังคงเป็นวัยรุ่นรักสนุก มีพลัง มีฝัน และเชื่อมั่นในตัวเอง

กระนั้น เมื่อการพลัดตกจากหนึ่งในความสนุก อย่างการขี่ม้า พรากหลายสิ่งหลายอย่างไป คริสฯ ที่ต้องใช้ชีวิตบนเตียงสลับกับบนรถเข็น ก็ได้ทบทวนคุณค่า และความหมายของการมีชีวิตอีกครั้ง

ไม่เกินจริงหากจะบอกว่า ข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เปิดโอกาสให้เขาได้ลองค้นหาสิ่งที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อน อย่างสายสัมพันธ์ครอบครัว

“การทำหน้าที่พ่อเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พ่อเริ่มมองเห็นเรา และเข้าหาเราแบบคนทั่วไป” ลูกสาวให้สัมภาษณ์ ขณะที่ลูกชายคนโตก็เสริมว่า

“การอยู่ด้วยกันและพูดคุยกันของพวกเรา มีความหมายมากขึ้น มันมีความหมายมากกว่ากิจกรรมที่ต้องใช้ร่างกายเสียอีก”

ชีวิตของคริสโตเฟอร์ รีฟอาจไม่โลดโผน สะดวกสบาย และทำอะไรได้ตามใจเหมือนเมื่อก่อน ทว่า เขาได้บางสิ่งบางอย่างกลับมา บางสิ่งบางอย่างที่เขาอาจต้องใช้เวลานานกว่านี้มากเพื่อทำความเข้าใจ

“ผมเคยเป็นนักแล่นเรือ นักเล่นสกี นักขี่ม้า ผมเดินทางไปมาแล้วแทบทุกที่ แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า นั่นไม่ใช่แก่นของการมีชีวิต แก่นที่แท้จริงของชีวิตคือความสัมพันธ์” คุณพ่อลูกสามกล่าวไว้

ภาพจาก HBO

แม้ความอัมพาตจะคงอยู่ถาวร แต่จิตใจที่เข้มแข็งเฉกเช่นตัวละครที่รับเล่น ได้ก่อให้เกิดความมหัศจรรย์บางอย่าง ในปี 2002 หลังจากคริสฯ และครอบครัวช่วยกันฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็กลับมาเคลื่อนไหวปลายนิ้วได้อีกครั้ง ทั้งยังสามารถรับรู้อุณหภูมิได้บางส่วน พัฒนาการนี้อาจไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และคงไม่ช่วยให้คริสฯ มีชีวิตที่ง่ายขึ้นแต่อย่างใด ทว่าอย่างน้อย มันช่วยชุบชูหัวใจของทั้งตัวเขา ครอบครัว และเหล่าสาวกซูเปอร์แมนทั่วโลก

ถึงจะต้องนั่งรถเข็นมาเกือบทศวรรษ แต่คริสฯ ก็ยังมีความหวัง เขากลับไปทำงานเบื้องหลัง กำกับภาพยนตร์โทรทัศน์ ที่สร้างจากชีวิตจริงของเพื่อนคนสนิท อย่างบรูค เอลลิสัน เขายังคงดิ้นรนต่อสู้ภายใต้ข้อจำกัดและความยุ่งยากของชีวิต

ทั้งที่สู้มาได้ขนาดนี้ พยายามอย่างดีมาตลอด บางครั้งผลลัพธ์ของความพยายามก็อาจไม่เป็นไปดั่งหวังเสมอไป

10 ตุลาคม 2004 คริสโตเฟอร์ รีฟในวัย 52 เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะแทรกซ้อนซึ่งเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะแผลกดทับ ซูเปอร์แมนผู้อาภัพได้ลาลับจากโลกไปอย่างไม่มีวันหวนคืน…

ซูเปอร์แมนในโลกความจริงไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า หรือตายไม่เป็น เขาอาจเป็นฮีโร่ทั้งในและนอกจอ แต่เขาไม่อาจหลีกหนีสัจธรรมของสังขาร ไม่อาจหลบเลี่ยงด้านที่ไม่แน่นอนของชีวิต แต่ด้านที่ไม่แน่นอนนี้ก็เตือนสติเราทุกคน กระซิบบอกให้เราใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีคุณค่า เท่าที่เวลาชีวิตของเราจะอำนวย

10 ปีบนรถเข็นที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ชายที่ชื่อคริสโตเฟอร์ รีฟได้พบความหมายของการมีชีวิต เขาได้เก็บเกี่ยวทุกนาทีอย่างดีที่สุด ทั้งในฐานะสามี พ่อ เพื่อน และแสงแห่งความหวังของผู้พิการทั่วโลก

แม้ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือลุกเดิน คริสฯ ยังได้สอนลูกชายปั่นจักรยาน แม้ไม่ได้มีพลังปอดที่ทรงพลังอย่างในหนังซูเปอร์แมน ลมปากอันบางเบาของเขาก็ช่วยให้โลกของเรามีทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อผู้พิการมากขึ้น สหรัฐอเมริกาได้มีพระราชบัญญัติเพื่อผู้ที่เป็นอัมพาตฉบับแรก

เหนือสิ่งอื่นใด แม้วันนี้จะมีนักแสดงอีกมากมาย ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมารับบทซูเปอร์ฮีโร่ผ้าคลุมแดง แต่ผลงานที่คริสโตเฟอร์ รีฟถ่ายทอดไว้จะยังคงอยู่ ทั้งบนหน้าประวัติศาสตร์และในความทรงจำของผู้ชม เขาอาจจากไปไวกว่าที่หลายคนคาดคิด แต่ชีวิต 52 ปีที่เขาได้ใช้ ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม มันมากพอจนไม่มีอะไรที่เราจะร้องขอจากผู้ชายคนนี้ได้อีกแล้ว

อ้างอิง

biography.com

people.com

neffinjurylaw.com

rogerebert.com

Siravitch WriterSiravitch

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง