“ลิขสิทธิ์มันเป็นของคุณตั้งแต่วันแรก” คุยกับ เมื่อย-บอล วง Scrubb ถึงลิขสิทธิ์ เมื่อโอกาสของศิลปิน ไม่ได้จบที่วันปล่อยเพลง

“ลิขสิทธิ์มันเป็นของคุณตั้งแต่วันแรก” คุยกับ เมื่อย-บอล วง Scrubb ถึงลิขสิทธิ์ เมื่อโอกาสของศิลปิน ไม่ได้จบที่วันปล่อยเพลง 

“การที่คุณลงทะเบียน (ลิขสิทธิ์) ตั้งแต่แรก ถ้าเพลงเป็นลูกของเรา มันก็เป็นการหาที่เรียนดีๆ ให้ลูกสักทีนึง มีคนแนะนำให้ความรู้ ให้เขาเติบโตได้ในวันที่ควรจะเป็น

 

ในวันที่อุตสาหกรรมบันเทิงสร้างสรรค์ไทยเติบโต การสนับสนุนให้คนได้ปล่อยของ ย่อมสำคัญเป็นลำดับต้น ทว่า การเข้าใจและรักษาสิทธิ์พื้นฐาน ในผลงานของตนเอง ก็ไม่ควรถูกปัดไว้ท้ายสุดเช่นกัน 

อย่างที่ เมื่อย-ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ และ บอล-ต่อพงศ์ จันทบุบผา ศิลปินดูโอ้ จากวง Scrubb ใช้ประสบการณ์นักดนตรีทั้งชีวิต เรียนจนรู้บ้าง  พลาดจนเข้าใจบ้าง กับประเด็น ‘ลิขสิทธิ์ และ สิทธิ์ของคนทำเพลง’ 

รายการ HEADLINE จากสำนักข่าว TODAY ชวน เมื่อย-บอล มาคุยถึงเรื่องราวเบื้องหลังของลิขสิทธิ์เพลง ที่พวกเขามองว่า หากจัดการได้ดี นี่คือ ‘เบี้ยเกษียณ’ ศิลปิน ด้วยเชื่อว่าการทำดนตรี ไม่ได้จบแค่วันที่ปล่อยผลงาน 

 

เปรียบ ‘ลิขสิทธิ์เพลง’ เป็นอาหารที่ทำเสร็จ กับสูตรที่ใช้ปรุง

ใครสักคนหนึ่ง ที่มีโอกาสสร้างสรรค์ ‘เพลง’ จนต่อยอดไปทำมาหากินในบ้านเรา บอล เห็นว่าน่าจะเข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์เป็นพื้นฐาน แต่อาจยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขต่างๆ ได้ดีพอ โดยเฉพาะการ ‘เลือกที่จะเป็นเจ้าของ’ ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่  ในหลายครั้ง

“ทำเพลงขึ้นมาเพลงนึงอาจมีผู้ว่าจ้าง หรือซื้อเพลงของเราไป ก็เหมือนเป็นผู้รับจ้างกับผู้ว่าจ้าง พอซื้อไปก็โอนทุกอย่างไปให้เขาทั้งหมด นี่เป็นความเข้าใจพื้นฐาน”

บอล ขยายความว่า ไม่ใช่เรื่องถูกผิด แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในบ้านเรา ซึ่งต่างกับระดับสากล ที่สามารถ ‘แยกสิทธิ์’ ออกจากกันได้ ซึ่งถูกซ้อนไว้ในเพลงหนึ่งๆ

หนึ่ง ลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียง (Sound Recording Copyright) เพลงที่เราฟังๆ กัน คุณได้ยิน ร้องยังไง กีตาร์กลองขึ้นแบบไหน นี่คือมาสเตอร์ซาวน์ (ต้นฉบับ) สิทธิ์ในสื่อบันทึกเสียงที่เกิดขึ้น 

“เป็นเรื่องถูกต้องเลย ใครเป็นผู้ว่าจ้างให้เราผลิตสิ่งนี้ เขาก็ได้สิทธิ์นั้นไป เหมือนเราเป็นพ่อครัว เราปรุงของนั้นให้ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครผลิต ใครคิดสูตร…เจ้าของก็จะถือสูตรไว้”

บอล เล่าต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ตามความเข้าใจแรกคือ คุณต้องยกสูตรนี้ให้เขาไป เขาสามารถเอาสูตรนี้ ไปขาย หรือปรุงอาหารตามสูตรนี้ให้ใครก็ได้ “มันต่างกัน ได้ข้าวจานนึงไปกิน กับได้สูตรในการทำอาหารอร่อยนี้ด้วย”

โดยที่สูตรของการแต่งเพลงที่เรากำลังพูดถึง เป็นเรื่องของ ‘เนื้อร้อง’ และ ‘ทำนอง’ ซึ่งอยู่ภายใต้ส่วนที่สอง ลิขสิทธิ์ในดนตรีกรรม (Musical Work Copyright)  

“ผู้ประพันธ์เป็นเจ้าของในสิทธิ์นั้นๆ คนที่จ้างทำ จะเอาของในฟอร์มนั้นไปขาย ไปหากิน ไปทำซ้ำ ไปจำหน่ายได้อีก แต่ไม่สามารถไปเอาไปผลิตใหม่ ทำใหม่ หรือดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาต”

บอล เล่าว่าในการทำงาน ย่อมมีการทำสัญญาระหว่างกัน ดังนั้น หากคนทำงาน ‘โอนสิทธิ์ให้’ เท่ากับให้ทั้งอาหารและสูตรไปพร้อมกัน ทั้งที่ นักประพันธ์สามารถให้เฉพาะลิขสิทธิ์ในสื่อนั้นได้ ด้วยการทำข้อกำหนดว่า ไม่อนุญาตในส่วนลิขสิทธิ์ในดนตรีกรรม “คุณให้เฉพาะของที่ทำให้เขาไปได้ แต่คุณควรเก็บลิขสิทธิ์ในส่วนที่เป็นผู้ประพันธ์นั้นๆ” 

นี่เป็นสิ่งที่ บอล ย้ำว่าต้องขยายความรู้เพราะบ้านเราส่งออกคนทำงานฝีมือดีออกไปอยู่มาก แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจสิทธิ์เหล่านี้เท่าที่ควร

 

ลิขสิทธิ์มักกินไม่ได้ ในวันที่เป็น ‘ศิลปินหน้าใหม่’

เมื่อย รับไม้เล่าต่อ โดยยกตัวอย่าง  Scrubb ที่นับตั้งต้นไม่ได้คาดหมาย ว่าจะทำเพลงต่อเนื่องมาขนาดนี้ ดังนั้น การเข้าใจเรื่องสำคัญๆ จึงต้องอาศัยคนรอบข้างร่วมด้วย อย่างที่ Scrubb มีโอกาสร่วมงานกับต้นสังกัด ที่เป็นค่ายเพลงโกลโบล มีสาขาทั่วโลก อย่าง SONY MUSIC จึงได้เห็นรายละเอียดลิขสิทธิ์ ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

ทั้งคู่จึงออกปากว่า ทั้งหมดเป็นความโชคดีในวันนั้น ต่างกับเพื่อนร่วมเส้นทาง ที่บางส่วนเลือกที่จะโอนสิทธิ์เด็ดขาด แลกกับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียว ที่เรียกว่า สัญญาลิขสิทธิ์ขายขาด (Buy Out) ทำให้ไม่มีสิทธิในการใช้ผลงานตัวเองทำอะไรต่อ

“ไม่มีใครผิด เพราะเป็นการตกลงยินยอมสองฝ่าย แล้วบางทีสมมติโซนี่จ่ายเรา 100 บาท ที่ที่ Buy Out เขาอาจให้ 200 บาท จ่ายอีกเท่านึง เหมือนการันตีล่วงหน้า ว่าการที่เขาขอซื้อทั้งหมด ได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ในเนื้อร้องทำนอง เหมาๆ แล้ว” บอลเล่า

บอล เปรียบเทียบลิขสิทธิ์ ว่า ไม่ต่างกับ ‘เงินออม’ เพราะในช่วงต้นศิลปินมักไม่ได้สนใจ ด้วยค่าตอบแทนต่ำ ต่างกับผลตอบแทนที่เห็นในระยะสั้น ทั้งค่าแสดง ค่ามาสเตอร์ เป็นต้น

“แน่นอนศิลปินหน้าใหม่ จะรู้สึกว่ามันน้อยมาก ไม่ต้องสนใจหรอก ถ้ามีคนอยากได้  Buy Out ก็ให้เขาไปเถอะ”

แต่  Scrubb ที่ทำงานมา 20 ปี ที่ค่อยๆ สะสมผลงานจนถึงตอนนี้ ราว 80 เพลง ควบคู่กับระบบจัดเก็บลิขสิทธิ์ที่พัฒนาขึ้นตาม พวกเขาจึงคล้ายมีเงินปันผล เหมือนพนักงานบริษัทที่ส่งประกันสะสมไว้

“กล้าพูดได้ไหม ถ้าไม่ทำอะไรแล้วรีไทร์ มีเงินลิขสิทธิ์เลี้ยงตัวเองได้” บอล แอบหันไปถาม เมื่อย ก่อนจะได้คำตอบที่หลุดขำทั้งคู่ “ถ้าประหยัด ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย” เมื่อยตอบ

 

นักดนตรีก็ต้องมีพาร์ทเนอร์

เมื่อย ให้ความเห็นว่า การเข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์ ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเป็นเจ้าของคนเดียว จนกลายเป็นผลเสีย “ถ้าผมถือเพลงเอาไว้ที่ตัวเอง ไม่ยุ่งกับใครเลย แล้วผมจะไปขายยังไง”

ดังนั้น อย่างแรกจึงต้องรู้สิทธิ์ของตัวเอง เพื่อให้สามารถจัดแจง และใช้สิทธิ์ให้ได้เต็มที่ ร่วมถึงการหาคนร่วมดูแล “นักดนตรีหรือนักแต่งเพลง หลายๆ คนอาจเข้าถึงบริษัทที่จัดเก็บลิขสิทธิ์ไม่ค่อยได้ด้วย อาจต้องใช้เวลา อย่างผมก็เป็นสิบปี” เมื่อย เล่า

บอลเองยังยกเรื่อง ‘ข้อพิพาท’ ที่มองข้ามไม่ได้ เพราะมักเกิดขึ้นกับเพลง อย่างบางศิลปินที่ไม่สามารถใช้เพลงตนเองได้ โดยความเป็นจริง เกิดจากความไม่รู้ไม่เท่าทันเรื่องลิขสิทธิ์ตั้งแต่ต้น บางอย่างไม่ถึงขั้นห้ามใช้ แต่ต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง

“เพื่อนพี่น้องหลายคน ที่ย้ายจากค่ายนึงไปอีกค่าย มันก็เป็นการเหมาจ่ายรายปี ซึ่งจริงๆ แล้วอยู่ในจำนวนที่ถ้าหารต่อเดือน ไม่ได้มากไปกว่าค่าโทรศัพท์ มันคือการเช่าของที่เคยเป็นของคุณ แค่คุยกันให้ถูกต้อง”

เช่นนี้เอง บอล ถึงได้มองว่า หลายครั้งเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง ก็ถูกสังคมโจมตีว่าเอาเปรียบ ไม่มีน้ำใจ “เราเข้าใจทั้งสองฝ่าย หลายครั้งเลยให้ความเห็นยากมาก”

 

ข้อแนะนำถึง นักร้อง-นักแต่งเพลง รุ่นใหม่

ในฐานะศิลปินรุ่นพี่ ทั้งคู่ต่างแนะนำ ให้นำเพลงเข้าถึงคนฟังให้ได้มากที่สุด ผ่านสตรีมมิงที่มากขึ้นในตอนนี้ โดยมองลิขสิทธิ์ควบคู่กันไป เริ่มต้นจากทำความเข้าใจ องค์กรที่ทำงานร่วมกัน เพื่อจัดเก็บลิขสิทธิ์ ซึ่งมี 3 แบบคร่าวๆ คือ

  • Publishing Company บริษัทดูแลบริหารจัดการลิขสิทธิ์ อย่าง sony music publishing
  • Collective Management Organization องค์กรจัดเก็บลิขสิทธิ์ เป็นส่วนที่มีองค์กรกลางระดับสากล แล้วมีเครือข่ายในทุกประเทศ เช่น บริษัท ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด (MCT)
  • ค่ายเพลง (Label)

จากนั้นเริ่มต้นจากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร บอล แนะนำว่า อาจติดต่อ MCT ก่อน เพื่อสมัครเข้าระบบเป็นสมาชิก ตามเกณฑ์เบื้องต้น วันนึงพอเติบโตขึ้น ก็ค่อยๆ ขยับขึ้นไปตามลำดับ แล้วเมื่อสังกัดค่าย เขาก็จะร่วมดูแล

“เริ่มก่อนเลย ทำผลงานมียูทูป แล้วพอวันนึงที่ยอดวิวมันสูงขึ้นมา จะมีคนมาหาคุณเอง…ไม่ต้องรีบให้ทุกอย่างครบองค์ประกอบ เหมือนเมื่อก่อนก็ได้” เมื่อย แนะนำ

ทั้งนี้ บอล เล่าว่า การจัดการลิขสิทธิ์สามารถทำย้อนหลังได้ เพียงแต่ใครเริ่มต้นก่อนก็มักได้เปรียบเป็นธรรม

“การที่คุณลงทะเบียน (ลิขสิทธิ์) ตั้งแต่แรก ถ้าเพลงเป็นลูกของเรา มันก็เป็นการหาที่เรียนดีๆ ให้ลูกสักทีนึง…ถ้าเราเซ็ตช้า เขาอาจโตช้า แบบห้าขวบยังไม่ได้เข้าอนุบาลเลย เหมือนสถานที่เรียนดีๆ หาสังคมดีๆ ที่เรียนดีๆ ให้เขาอยู่ วันนึงพอโต ก็เหมือนเพลงที่โตไปตามช่องทางที่เราเอาไปปล่อยด้วย”

ถ้าเรื่องลิขสิทธิ์เพลงถูกใช้จริง วงการเพลงจะเปลี่ยนไปยังไง?

‘ความชัดเจน’ คือ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด หากประเด็นลิขสิทธิ์ชัดเจนขึ้น

อย่างที่ผ่านมา บอล เล่าว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะทุ่มแพชชั่นให้เพลงดัง ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เคยมีเหตุการณ์ที่เมื่อติดต่อศิลปินไป เพื่อต้องการใช้เพลง แต่เพลงนั้นกลับมาจากเพื่อนแต่งให้อีกทอดหนึ่ง และเขาก็ไม่สามารถติดต่อเพื่อนคนนั้นได้แล้ว

“มันหมายถึงการถูกนำไปใช้ในอนาคต เฟสแรกๆ คนไม่ค่อยให้ความสำคัญ ซึ่งไม่ผิด แต่เมื่อทำให้ชัดเจน วันนึงลิขสิทธิ์ของคุณมีโอกาสถูกนำไปใช้ ถูกต่อยอด อย่างน้อยต้องรู้ว่าเพลงนี้เป็นของใคร หรือใครจัดเก็บลิขสิทธิ์เรื่องนี้ให้อยู่” 

อย่างไรก็ดี หากทำผลงานไปได้ระยะนึง และยังมีแผนทำต่อ บอล แนะนำให้จดบันทึกผลงานตัวเอง แล้วจัดการให้ถูกต้อง อย่างที่ เมื่อย มองว่า แพชชั่นขับเคลื่อนนักดนตรีสักคน ย่อมเป็นเรื่องดี ทว่า อาชีพนี้ไม่มีใครการันตีความสำเร็จให้ได้ อาจมีคนถูกคัดออกไม่ประสบความสำเร็จกว่าครึ่ง  

“ใครที่สร้างสรรค์เพลงขึ้นมา ลิขสิทธิ์มันเป็นของคุณตั้งแต่วันแรกนะ อาจจะยังไม่ได้จดในตอนแรก แต่เมื่อถูกพิสูจน์มันไม่ยาก ว่าคุณเป็นเจ้าของสิ่งนั้น พอมันเป็นของคุณมันจะดูแลคุณไปตลอดชีวิต แม้ว่าเพลงนั้นจะไม่เกิดรายได้เลย หรือทำรายได้มหาศาล…มันจะเป็นของคุณจนตาย ถ้ามีครอบครัวมีลูก ลูกจะได้รับเป็นมรดกไปอีก 50 ปี ก่อนที่จะตกไปเป็นของสาธารณะ”

อาจยังเป็นความฝัน แต่เมื่อยมองว่า เมื่อวงการเพลงสามารถสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์ คนทำงานก็มีกำลังใจผลิตผลงานได้ดี ในอนาคตได้ผลตอบรับดี ขณะที่ ผู้ใช้เพลงก็เห็นความสำคัญของการลงเงินก้อนนี้ตั้งแต่ต้น ไม่เกิดปัญหาอะไรตามมา และที่ผ่านมา บอล มองว่าบ้านเราตื่นตัว และเติบโตกันมาเยอะมาก ดีขี้นแล้ว และจะดีขึ้นอีกในอนาคต 

“ถ้าเรื่องลิขสิทธิ์พื้นฐานมันดี ธุรกิจดี อุตสาหกรรมโต ผมว่าไม่ใช่แค่เรื่องจ่ายเงินแล้วใครได้อะไรไป แต่ทำให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ งานที่ช่วยจรรโลงจิตใจผู้คน มันจะเติบโตทั้งผู้ทำและผู้ใช้”

“ไม่ได้อยากให้มองว่า เรื่องนี้เป็นแค่ใครเป็นเจ้าของสิทธิ์ ใครต้องจ่ายตังค์ ยิ่งเรามีความรู้กันมากขึ้น ยิ่งขจัดสิ่งที่ไม่เข้าใจ กำจัดมิจฉาชีพ…การไม่รู้เปิดช่องให้คนหากิน เอาเงินเข้ากระเป๋าเขา กลับกันถ้าเราส่งเสริมให้คนที่ทำเรื่องนี้โดยตรงจัดเก็บ ทำให้ถูกต้อง ทุกอย่างมันอยู่ใน Ecosystem ของเรา” บอล กล่าวทิ้งท้าย

SmitananWriterSmitanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง