ดูแลดีแค่ไหน บวชให้ไม่ได้ก็แค่นั้น? ‘Pride & Prejudice : In Her Room’ โลกใบใหม่ แต่เงื่อนไขของผู้หญิงปี 2025 คงเดิม

ดูแลดีแค่ไหน บวชให้ไม่ได้ก็แค่นั้น? ‘Pride & Prejudice : In Her Room’ โลกใบใหม่ แต่เงื่อนไขของผู้หญิงปี 2025 คงเดิม

จะเป็นอย่างไร หากวรรณกรรมคลาสสิกจากปี 1813 อย่าง Pride & Prejudice ถูกดัดแปลงเป็นละครเวที ตีความใหม่ให้เข้ากับบริบทประเทศไทยปี 2025…

 

นี่อาจเป็นคำถามชวนคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบผลงาน ของ เจน ออสเตน (Jane Austen) นักเขียนชาวอังกฤษ ผู้เสกสรรปั้นแต่งหลากหลายตัวละครหญิง ให้มีชีวิตแหวกขนบ กล้าตั้งคำถามถึงความย้อนแย้งในสังคม ซึ่งมีต้นสายปลายเหตุแห่งความย้อนแย้ง ที่มากไปกว่าเพศกำเนิดและฐานะ

เรื่องเล่ามากมายจากปลายปากกาของเจนคงอยู่เหนือกาลเวลา ทั้ง Sense and Sensibility, Emma และแน่นอน Pride & Prejudice ซึ่งหนึ่งในผู้ที่เฝ้าจินตนาการถึงคำถามข้างต้น คือ เอมอัยย์ พลพิทักษ์ ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานละครเวที อาทิ Bangkok Goddess Love Story, เจ้าหงิญ, Before 2475, ฯลฯ

จากผลงานที่ผ่านมา เราคงพอทึกทักได้ว่า เอมอัยย์ เป็นผู้กำกับที่สนใจแง่มุมประวัติศาสตร์ สังคม ความเท่าเทียม 

โดยความเท่าเทียมในที่นี้ ย่อมหมายรวมถึงความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งเชื่อว่าเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เธอให้ความสนใจ (งานล่าสุดของเอมอัยย์ คือภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงจากนิยายของ LADYS เรื่อง CONCETTA

ดังนั้น การที่เธอเลือกจับนวนิยายขึ้นหิ้งของเจน ออสเตน อย่าง Pride & Prejudice มาปัดฝุ่น พร้อมรื้อสร้างทางเดินของตัวละครใหม่ จึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย ทว่า สิ่งที่น่าแปลกและชวนฉงนสงสัย คือในวันที่ค่านิยมและความเชื่อ เปลี่ยนผ่านมาไกลจากวันที่นวนิยายถูกเขียน อีกทั้งวัฒนธรรมที่โอบล้อมตัวละครยังแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับที่ปรากฏในต้นฉบับ 

ผู้กำกับอย่างเอมอัยย์ จะนำเสนอวรรณกรรมอมตะเรื่องนี้ด้วยท่าทีแบบไหน และน้ำเสียงแบบใด…สำนักข่าว TODAY จะพาทุกคนไปสำรวจเรื่องราวเกิดขึ้น บนเวทีสี่เหลี่ยมเล็กๆ แห่งนี้

*** บทความมีการพูดถึงเนื้อหาในละครเวทีเรื่องนี้ ***

ปรุงใหม่กลายเป็น Pride & Prejudice : In Her Room

หญิงสาวตระกูล เบนเนต (Bennet) แห่งสหราชอาณาจักร ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ถูกปรับเปลี่ยนเป็น ‘เฟิร์สจ๊อบเบอร์สาว’ นามสกุลบุญเนตร ดำเนินชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร ยุคโซเชียลมีเดีย

พลังอำนาจแห่งการใช้ชีวิตยังผูกโยงอยู่กับเงินตรา ทว่า เกียรติยศและอิทธิพล ถูกโยกย้ายจากราชสกุล มายังคุณสมบัติทายาทนักการเมือง

เหนือสิ่งอื่นใด จากเรื่องเล่าที่ถูกถ่ายทอดผ่านหลากสถานที่ ทั้งเนินเขา บ้านไร่ และปราสาท คำว่า ‘In Her Room’ ซึ่งต่อท้าย Pride & Prejudice ฉบับนี้บ่งชี้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องจะถูกบอกเล่าผ่านห้องเพียงห้องเดียว!

ละครเวทีเรื่องนี้ ถือเป็นการ ‘รื้อสร้าง’ ที่น่าสนใจ ผู้จัดทำต้องดัดแปลงเรื่องราวเดิมให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ประเทศใหม่ แถมยังพ่วงด้วยเงื่อนไขของพื้นที่ในการเล่าเรื่อง ไม่มากก็น้อย เซตติ้งใหม่นี้ ลดทอนความจำเจของวรรณกรรม ซึ่งถูกทำใหม่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังเชื้อชวนให้ผู้ชมอยากติดตามต่อว่า ผู้สร้างจะเลือกเล่าเรื่องด้วยวิธีการไหน (บางครั้งเหตุการณ์เกิดขึ้นข้างนอก แต่ต้องเล่าจากในห้อง) และปัญหาเดิมตามบริบทศตวรรษที่ 19 จะถูกแทนที่ด้วยปัญหาใหม่อะไร

ลักษณะนิสัยและความต้องการของหกตัวละครหญิง ทั้งอลิซเบธ (ลิซ) เจน แมรี่ คิตตี้ ลิเดีย และชาร์ล็อตคล้ายคลึงกับเวอร์ชันต้นฉบับ บ้างมีความฝันที่สอดรับกับกฎเกณฑ์ของสังคม บ้างฝืนใช้ชีวิตให้สอดรับด้วยเหตุผลส่วนตัว และบ้างถูกบังคับ ขู่เข็ญ อย่างไรก็จำใจปรับตามค่านิยมไม่ได้

‘ความขัดแย้งแห่งยุคสมัย’ เรื่องไม่ใหม่ แต่กระแทกใจเหมือนเดิม

หลังปูปูมหลังตัวละครให้ผู้ชมเห็นภาพ ทีละเล็กละน้อย ผู้สร้างค่อยๆ บรรจงหย่อนปม ‘ความขัดแย้งแห่งยุคสมัย’ เข้ามาอยู่ในบทสนทนาของตัวละคร 

เราเริ่มจูนกับเรื่องติดช่วงที่พี่ใหญ่ของห้อง อย่าง เจน ถกเถียงกับแมรี่ เรื่องการอยู่ในระบบเพื่อความอยู่รอด และการต่อต้านทุนนิยมเพื่อบ่มเพาะอุดมการณ์ 

ละครเผยให้เรารู้ว่า เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น ทั้งคู่เคยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไม่ต่างกัน แต่ด้วยสภาพความเป็นจริง และการเป็นพี่คนโตของห้อง จึงมีสิ่งอื่นที่สำคัญต่อการเอาตัวรอดมากกว่าสำหรับเจน… ไม่ใช่ว่าเธอยอมแพ้ เธอแค่มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง พร้อมกันนั้น เราในฐานะผู้ชมอดคิดไม่ได้ว่า เราสูญเสียความฝัน ความต้องการ และอุดมการณ์ไปมากเท่าไหร่ เพื่อเอาตัวรอดในวันที่การเป็นผู้ใหญ่มาถึง

ถึงตรงนี้ สิ่งที่เราชื่นชอบใน Pride & Prejudice : In Her Room คือการที่ละครมีเวลาพาผู้ชมไปสำรวจ ทำความเข้าใจตัวละครอื่นๆ เพราะหากเป็นในฉบับภาพยนตร์ปี 2005 เราแทบจะนึกไม่ออกว่า ตัวละครอย่างเจนและแมรี่ มีโอกาสได้พูดคุยกันบ้างหรือเปล่า

ทว่า ในรูปแบบละครเวที ซึ่งเลือกให้เวลาแก่ตัวละครหญิงอย่างเต็มที่ กลับกลายเป็นว่า ทุกการเข้าคู่ของเจนกับแมรี่ คือฉากที่เราประทับใจ คงต้องชื่นชมไปที่การแสดงของทั้ง แจ้ว-จารุศรี ศุกระจันทร์ ในบทเจน และ ตาล-อรนิษฐ์ หิรัญพรฐานนท์ ในบทแมรี่ ที่ถ่ายทอดออกมาชวนคล้อยตามเหลือเกิน

เราจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่เสียน้ำตาให้กับละครเวทีคือเมื่อไหร่ แต่ตัวละครเจนในเรื่องนี้กลับทำสำเร็จ

การถกเถียงตัดพ้อต่อค่านิยมดำเนินต่อไป หนึ่งในประโยคที่กระแทกใจเราที่สุด มาจากตัวละครผู้ใช้ชีวิตตามขนบ อย่าง ชาร์ล็อต (รับบทโดย ฝ้าย-กัณฐิกา เอื้อรัตนพงศ์) เธอระบายออกมาทำนองว่า ทั้งที่เธอดูแลแม่ที่ป่วยอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่สุดท้าย เธอแทบไม่ได้รับอะไรตอบแทน ตรงข้ามกับลิน (ในเวอร์ชันต้นฉบับเป็นบาทหลวง) ผู้ตัดสินใจบวชเป็นพระ เผื่อจะช่วยให้แม่ของชาร์ล็อตหายป่วย ที่ได้รับทั้งความรักและคอนโดฯ ตอบแทน หรือพูดในแบบที่ดูเลือดเย็น คือ 

บวชให้ = ได้คอนโดฯ ส่วนลูกสาวที่บวชไม่ได้ = ไม่ได้อะไรเลย

อีกสองตัวละครที่บทบาทน้อยเหลือเกิน ในฉบับภาพยนตร์ปี 2005 คือ ลิเดีย และ คิตตี้ ซึ่งละครเวทีเลือกจะให้เวลาในการสำรวจตรวจตราเป้าหมายในชีวิตของพวกเธอเพิ่มมากขึ้น ต้นหลิว-มรกต หลิว นำเสนอบทอินฟลูเอนเซอร์สาว (ร่วมสมัยมาก!) อย่าง ลิเดีย ได้อย่างโดดเด่น ขณะที่ การ์ตูน-ณัฏฐ์นรี บูรพาสุวรรณ ในบทคิตตี้ ผู้ที่คล้ายจะคลำหาความฝันของตัวเองไม่เจอ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

หนึ่งในประเด็นร่วมสมัยที่น่านำไปคุยต่อหลังละครจบ คือ ‘คุณค่าของอินฟลูเอนเซอร์’ อาชีพที่หลายคนแปะป้ายว่า หาเงินได้ง่ายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับอีกหลายสาขาวิชาชีพ ที่หลายคนมองว่าทั้งเรียนหนัก มีการสอบ มีกฎเกณฑ์องค์กรควบคุม แถมจนแล้วจนรอด ค่าตอบแทนที่ได้ก็ห่างไกลคำว่าคุ้มค่า 

จนอดคิดไม่ได้ว่า อินฟลูฯ คืองานที่แสนสบาย… ทว่ามันสบายแบบนั้นจริงหรือ? คำตัดพ้อที่คิตตี้มีต่อลิเดีย คงเป็นเหมือนคำถามแทนใจใครหลายคนพร้อมกัน สิ่งที่ต้องไม่ลืมเช่นกัน คือคำถามที่ว่า ตัวของลิเดียเต็มใจกับการยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพหรือไม่ และท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเต็มใจหรือจำยอม เธอผิดอะไรที่เลือกหาเลี้ยงตัวเอง (รวมถึงคนอื่นๆ) ด้วยอาชีพสุจริต ที่เรียกว่าอินฟลูเอนเซอร์

ถึงช่วงท้าย เห็นทีคงไม่พูดถึงอลิซเบธไม่ได้ แม้ในฉบับละครเวที การมีอยู่ของเธออาจดูสำคัญน้อยกว่าฉบับก่อนหน้าไปมาก (ผู้กำกับเลือกจะไปสำรวจตัวละครอื่นๆ มากขึ้น) กระนั้น เคท-มาริลิน เคท การ์ดเนอร์ ก็ยังสามารถออกแบบตัวละครนี้ ให้มีเลือดเนื้อและหัวจิตหัวใจ

ในแง่ตัวละคร ส่วนตัวเรามองว่า ฟังก์ชันของเธอแทบจะจำเป็นต่อโครงเรื่องน้อยที่สุด ทว่า ในมุมการถ่ายทอดของนักแสดง คำพูดธรรมดาที่มาพร้อมน้ำตาซึ่งกำลังเอ่ออย่าง “โง่เนอะ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา” ยังดีพอจะพาให้ผู้ชมอย่างเรา รู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวละครนี้โดยไม่มีข้อแม้

ในมุมมองของผู้เขียนโดยส่วนตัว มองว่า อาจขมวดเวลาได้กระชับขึ้นได้อีกนิด และบางช่วงตอน ชวนให้รู้สึกคล้ายเป็นการนำเสนอผ่านสายตาชนชั้นกลางค่อนสูง ไปสักหน่อย 

กระนั้น Pride & Prejudice : In Her Room ก็เป็นการหยิบยกวรรณกรรมคลาสสิกของเจน ออสเตนมาตีความใหม่ให้เข้ากับทั้งบริบท และช่วงเวลาได้อย่างน่าชื่นชม สิ่งที่อยู่ภายใต้เปลือกนอกสีลูกกวาดสดใส คือเนื้อในที่ละเอียดอ่อน มีความเป็นมนุษย์ แถมสอดแทรกมุกตลกเสียดสีสังคมไทยปี 2025 ไว้อย่างเจ็บแสบ

นอกจากนี้ หลายบทสรุป โดยเฉพาะที่ยึดโยงกับเรื่องเพศ ยังถูกนำเสนอออกมาอย่างน่าจดจำ อาทิ การชวนขบคิดว่า บางครั้งบางทีบรรพบุรุษทั้งแม่ ย่า ยาย ทวด อาจไม่ได้ต้องการให้ลูกหรือหลานสาวทำในสิ่งที่แตกต่าง ทว่า อาจหวังเพียงให้ผู้หญิงรุ่นต่อไปได้ ‘มีโอกาสเลือก’ ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเหมือนหรือต่าง จากสิ่งที่พวกเธอเคยเลือกก็ตาม 

หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นการแต่งงาน ทำตามอุดมการณ์ หรืออยู่เป็นโสดตลอดชีวิตก็ตาม…

จุดนี้พาเรากลับไปทบทวนคำพ่วงท้ายของชื่อเรื่อง อย่าง ‘In Her Room’ อีกครั้ง เพราะแท้จริงแล้ว วลีนี้อาจไม่ได้สื่อถึงเพียงห้องของคอนโดฯ ที่หญิงสาวทั้งหกอาศัย แต่อาจหมายรวมถึงห้องของหัวใจ ที่อัดแน่นไปด้วยความฝัน ความต้องการ ความผูกพัน และความรัก หลายครั้งห้องหัวใจนี้เองที่คอยบงการให้เราทำตัวน่ารำคาญ งี่เง่า และร้ายกาจ แต่ในเวลาเดียวกันก็ช่วยเตือนสติให้เรายังอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ และเปี่ยมฝันอยู่เสมอ

ห้องหัวใจนี้เองไม่ใช่หรือที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน ยุคสมัยใด หรือเพศอะไรก็ตาม

สามารถรับชมตัวอย่างละครเวทีได้ที่ https://www.instagram.com/reel/DPTiDQskYR2/ และซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ทาง Ticketmelon

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Siravitch WriterSiravitch

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง