ก่อนหน้านี้ ถ้าเราอยากให้ลูกค้าหาแบรนด์ของเราให้เจอง่ายๆ เชื่อว่าตัวเลือกแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงก็คือการทำ SEO ศาสตร์ที่เน้นการทำเว็บไซต์ให้ขึ้นไปติดหน้าแรกของ Google
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ต้องยอมรับว่า AI มีส่วนทำให้พฤติกรรมการค้นหาของคนเราเปลี่ยนไปแล้ว
เพราะจากเดิมที่ต้องค้นหาผ่าน Google เป็นหลัก แต่ตอนนี้ลูกค้ามีตัวเลือกการค้นหาใหม่ที่เป็น AI
เช่น ChatGPT, Gemini รวมไปถึงอีกหลาย ๆ ตัวเลือกที่อาจจะให้คำตอบได้ตรงใจกว่าการเซิร์ช Google
ทำให้ศาสตร์ที่เรียกว่า “AEO” ที่เน้นการทำให้เนื้อหาของเรามีโอกาสถูก AI หยิบไปเป็นคำตอบ
มากขึ้น เลยเริ่มเป็นที่พูดถึงกันว่าอาจจะมาแทนที่ SEO ได้ในอนาคต
แล้ว AEO คืออะไร มีหลักการอย่างไรบ้าง ? TODAYBizview จะสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ
1. มาเริ่มกันจากคำถามที่ว่า AEO กับ SEO ต่างกันตรงไหน ?
ก่อนหน้านี้ ให้เรานึกตามว่าถ้าเราจะเซิร์ช Google เราอาจจะตั้งต้นด้วยการใช้ Keywords ในการค้นหาสิ่งที่ต้องการ เช่น คาเฟต์บางปู, ที่เที่ยวบางแสน หรือคำค้นหาอื่น ๆ
โดย Google จะดึงเว็บไซต์ที่มีส่วนประกอบของ Keywords ที่เราค้นหาขึ้นมาแสดงผลให้เราเลือกว่าจะกดเข้าไปดูเว็บไซต์ไหน
ทำให้หลักการของ SEO ก็คือจะเน้นการใส่ Keywords ที่คิดว่าลูกค้าจะใช้ค้นหาใส่ลงไปในส่วนของเนื้อหาของเว็บไซต์เพื่อให้มีโอกาสที่ Google ดึงเว็บไซต์ที่มีส่วนประกอบของ Keywords ของเราไปแสดงผลให้ลูกค้าเห็นมากที่สุด
แต่ตอนนี้เรามี AI ที่สามารถตอบคำถามเราได้เหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเราทำให้พฤติกรรมการค้นหาของผู้คนเปลี่ยนไปพอสมควร
โดยผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนจะมองว่าการที่คนใช้ AI หาข้อมูล จะมีความเป็นรูปแบบของ “คำถาม” และ “ภาษาพูด” มากกว่าการค้นหาข้อมูลบน Google เช่น “แนะนำคาเฟต์แถวบางปูให้หน่อย” หรือ “ที่เที่ยวบางแสนตรงไหนสวย” ซึ่งดูมีความเป็นภาษาพูดมากกว่า
ทำให้หลักการของการทำ AEO เลยจะเน้นไปที่การปรับปรุงเนื้อหาหรือคอนเทนต์ให้เป็นรูปแบบของ “การถาม-ตอบ” ให้เป็นภาษาพูดเพื่อที่ AI จะได้มีโอกาสดึงเนื้อหาที่มีส่วนของ คำถาม-คำตอบ ของเราไปแสดงผลมากที่สุดไม่ใช่การใช้ Keywords แบบ SEO
2. โครงสร้างของ AEO เป็นอย่างไร ?
อย่างที่บอกว่า AEO หรือ “Answer Engine Optimization” การปรับปรุงเนื้อหาหรือคอนเทนต์ของเราให้มีความเป็น “คำถาม-คำตอบ” และมีภาษาพูดให้มากที่สุด
หมายความว่าคอนเทนต์ประเภท “Q&A” หรือ คอนเทนต์ที่มีการตั้ง Headlind ให้เป็นรูปแบบของคำตอบจะได้เปรียบมาก ๆ ในมุมของ AEO
สมมติว่าเราเปิดรีสอร์ตที่บางแสน แล้วอยากให้ ลูกค้าหารีสอร์ตของเราเจอด้วยหลักการ AEO ก็ให้เราตั้งต้นคอนเทนต์จาก “คำถามที่คิดว่าลูกค้าค้นหาบ่อย” ยกตัวอย่างเช่น
– ที่พักบางแสนติดทะเลมีที่ไหนบ้าง ?
– ที่พักบางแสนราคาถูกแนะนำหน่อย ?
จากนั้นในพยายามทำเนื้อหาของคอนเทนต์ให้สั้นและกระชับและเป็นภาษาพูดคล้ายคำตอบที่ได้จาก AI ให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น
– ที่พักบางแสนติดทะเลมีที่ไหนบ้าง ? (คำถาม)
BIZ Resort ติดหาดบางแสน เดินไปทะเลไม่ถึง 1 นาที มีสระว่ายน้ำใหญ่ พักได้หลายคน เหมาะกับครอบครัวใหญ่ (คำตอบ)
– ที่พักบางแสนราคาถูกแนะนำหน่อย ? (คำถาม)
B3 Hotel ที่พักสไตล์มินิมอล ราคาเริ่มต้นหลักพัน แต่ได้นอนติดหาด บรรยากาศดี ไม่วุ่นวาย (คำตอบ)
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่าคอนเทนต์ที่มีโครงสร้างเป็นข้อ ๆ หรือเครื่องหมาย “-” จะมีโอกาสที่ AI จะหยิบไปตอบได้ง่ายขึ้นด้วย..
3. AEO ทำไมถึงมาแรงในยุคนี้
รู้ไหมว่าต่อให้ผู้ใช้หาข้อมูลบน Google โดยที่ไม่ได้ค้นหาข้อมูลผ่าน AI ตรง ๆ เราจะมีโอกาสได้คำตอบหลายแบบมาก ๆ ไม่ได้มีแค่รายชื่อเว็บไซต์เรียงติด ๆ กันเหมือนเมื่อก่อน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราค้นหาบน Google ด้วยข้อความเชิง “คำถาม-คำตอบ” เราจะมีโอกาสเจอคำตอบในรูปแบบนี้
– Google Snippets ฟีเชอร์ที่ Google จะดึงข้อมูลบางส่วนของเว็บไซต์ มาปรากฏในกล่องข้อความเล็ก ๆ ด้านบนสุดของหน้าแสดงผล ให้ผู้ใช้สามารถดูคำตอบได้โดยไม่ต้องกดเข้าเว็บไซต์
– AI Overviews ฟีเชอร์ที่ Google จะเอาคำตอบของ Gemini ที่เป็น AI ของตัวเอง
มาแสดงผลด้านบนสุด ในแบบที่ผู้ใช้จะได้คำตอบโดยที่ไม่ต้องกดเข้าเว็บไซต์เช่นกัน
จากที่ว่ามาทำให้การทำข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีความเป็นคำถาม-คำตอบ แบบ AEO จะมีโอกาสไปติดหน้าแรกของการค้นหาบน Google ได้ดีไม่ต่างกับการทำ SEO เลย
ถึงตรงนี้หลาย ๆ คนน่าจะเห็นภาพแล้วว่าทำไมการทำ AEO ถึงกำลังถูกพูดถึงเรื่อย ๆ ว่าอาจจะมาแทน SEO ในอนาคต
อย่างไรก็ดีก็ต้องบอกว่าพอมี AEO แล้ว ก็ใช่ว่า SEO จะหมดความสำคัญไปเลย
เพราะการเซิร์ซ Google เองก็ยังเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เวลาที่คนอยากหาข้อมูล
อยู่ในวันนี้
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการพยายามหาจุดตรงกลาง ระหว่าง AEO และ SEO ให้เจอ เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสหาเราเจอไม่ว่าจะจากทางไหนก็ตามนั่นเอง










