สเต๊ก Eat Am Are โตเงียบไม่เน้นโฆษณา แต่รายได้ทะลุพันล้าน

สเต๊ก Eat Am Are โตเงียบไม่เน้นโฆษณา แต่รายได้ทะลุพันล้าน

การตลาด

ถ้าพูดถึงแบรนด์ที่มีรายได้ระดับ 1,000 ล้านบาท หลายคนอาจจะคิดว่าอย่างน้อยยอดขายต้องมาจากการทุ่มงบโฆษณาให้คนรู้จักแบรนด์เยอะๆ แต่มีเสต๊กอยู่แบรนด์หนึ่งที่ต้องยอมรับว่าเราแทบไม่เคยเห็นโฆษณาของแบรนด์เลยนั้นก็คือ “Eat Am Are” ร้านสเต๊กขวัญใจของใครหลายคน

แต่ผลประกอบการของ บริษัท อีท แอม อา กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้านเสต๊ก Eat Am Are กลับโตระเบิดแทบทุกปี

ปี 2565 รายได้ 495 ล้านบาท กำไร 4.2 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 772 ล้านบาท กำไร 4.2 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 1,269 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท

แล้ว Eat Am Are ทำได้อย่างไร ? TodayBIZ จะชวนทุกคนมาวิเคราะห์กัน

Eat Am Are เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2557 หรือเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ก่อนจะขยายกิจการมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้มีจำนวนสาขาประมาณ 23 แห่ง

ถ้าลองวิเคราะห์ดู Eat Am Are จะมีกลยุทธ์หลัก ๆ ก็คือวางตัวเองให้เด่นในเรื่องของ “ความคุ้มค่า” มีเมนูสเต๊กไก่ ขายราคาเริ่มต้นแค่ 129 บาทเท่านั้น

และทุก ๆ เมนูจะถูกเสิร์ฟใน Portion ที่ใหญ่ และมีคุณภาพ รสชาติอร่อย แถมยังมีเครื่องเคียงให้ลูกค้าสามารถเลือกได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ, หอมทอด, ข้าวผัด และอีกหลาย ๆ อย่างจนลูกค้าติดใจ

ในมุมการตลาด วิธีแบบนี้แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็พอจะทำให้ Eat Am Are สามารถสร้าง​ “ความแตกต่าง” จากคู่แข่งที่ขายสเต๊กเหมือนกันได้พอสมควร

โดยถ้าเราลองดูที่ตลาดสเต๊กในช่วงเวลาเดียวกับที่ Eat Am Are เริ่มทำตลาดเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เราอาจจะยังนึกถึงแบรนด์ที่มี Position แบบนี้ไม่ค่อยออก

เพราะตอนนั้นจะมีแค่แบรนด์ที่วางตัวเองเป็นพรีเมียมไปเลยอย่าง Sizzler หรือแบรนด์ที่เน้นขายถูกสุด ๆ ไปเลย ตามข้างถนน เช่น สเต๊กลุงหนวด

โดยแบรนด์ที่วาง Position ใกล้กับ Eat Am Are มากที่สุดก็น่าจะเป็น Santa Feแต่ในภาพรวมก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนี้ยังไม่ค่อยมีใครลงมาเล่นอยู่ดี

ทำให้ Eat Am Are ที่วางตัวเองไว้ “ตรงกลาง” กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆ ของลูกค้าที่อยากทานสเต๊กดีมีคุณภาพ แต่ก็ไม่ได้อยากจ่ายแพงได้ทันที

อย่างไรก็ดีการจะทำแบบนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการจะทำของคุณภาพดีมาขายในราคาย่อมเยาแบบนี้ ผลที่ตามมาแน่ ๆ ก็คือ “ธุรกิจจะมีอัตรากำไรที่น้อย”

โดยถ้าเราลองลองดูที่ “อัตรากำไร” ของ Eat Am Are จะเห็น ได้เลยว่าอัตรากำไรของ Eat Am Are นั้นบางมาก ๆ ถ้าเทียบกับรายได้ในแต่ละปี

ปี 2565 อัตรากำไร 0.85%
ปี 2566 อัตรากำไร 0.54%
ปี 2567 อัตรากำไร 1.18%

ดังนั้นถ้าทางร้านไม่มีการควบคุมต้นทุนให้ดีธุรกิจก็อาจจะถึงขั้นขาดทุนได้เลย

ที่น่าสนใจคือด้วยตัวเลขกำไรที่บางขนาดนี้ ทำให้เราน่าจะพอวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมเราถึงไม่ค่อยเห็นโฆษณาของแบรนด์ Eat Am Are เลยได้ด้วย ?

นั่นเป็นเพราะว่าทางแบรนด์ น่าจะเอางบไปทุ่มกับคุณภาพและการบริการในร้านให้ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าบอกต่อกันเองเหมือนเป็น “Word of Mouth”

ทำให้ต่อให้จะไม่โฆษณา Eat Am Are ก็ได้ลูกค้าเป็นคนคอยโปรโมตร้านให้ซึ่งเป็นการตลาดที่ทรงพลังมาก ๆ ประเภทหนึ่งนั่นเอง

นอกจากนี้อีกวิธีของ Eat Am Are ที่เราเห็นได้ชัด ๆ ก็คือ เรื่องของการเลือก “ทำเล” ที่แม้จะชอบตั้งในห้างหรือศูนย์การค้าที่มี Traffic เยอะ เหมือนแบรนด์อื่นๆ

แต่ข้อสังเกตุก็คือ Eat Am Are จะไม่เน้นอยู่ใน Prime Location หรือ บริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่ายในหลายสาขา

ยกตัวอย่างเช่น ร้าน Eat Am Are สาขาเซ็นทรัลเวิร์ล ที่จะตั้งอยู่ชั้น 7 บริเวณโซนที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ต้องเดินเข้าไปถึงจะเจอ

สาเหตุที่เป็นแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะว่าบริเวณแบบนี้ มักจะมีเรต “ค่าเช่า” ที่ถูกกว่าการไปตั้งร้านในทำเลที่เป็น Prime Location ทำให้ Eat Am Are สามารถขายสเต๊กคุณภาพในราคาถูกต่อไปได้นั่นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ ขอสรุปกลยุทธ์ของ Eat Am Are แบบสั้น ๆ อีกครั้ง คือจะวางตัวเองโดยเน้นขายความ “คุ้มค่า” ในขณะต้องรักษา “คุณภาพ” ของสินค้าเอาไว้ด้วย

และพอลูกค้าพอใจก็จะมีโอกาสบอกต่อ รวมไปถึงกลับมาซื้อซ้ำโดยที่ไม่ต้องโฆษณาเลยนั่นเอง

สุดท้ายนี้ ถ้าลองคิดเล่น ๆ ว่าในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมานี้ Eat Am Are มีรายได้ 1,200 ล้าน
และถ้าตีว่า Eat Am Are มีจำนวนสาขาที่ 23 แห่งเท่าตอนนี้

หมายความว่าร้าน Eat Am Are 1 สาขาจะสามารถสร้างรายได้ที่ 52 ล้านบาทเลยทีเดียว

TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง