แอมเนสตี้เรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริการ่วมยุติความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกแถลงการณ์ระบุว่า กองกำลังอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซา ต้องไม่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศซ้ำอีก ซึ่งนำไปสู่การสังหารและทำให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บ และทำลายบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน แบบเดียวกับสงครามที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งก่อนหน้านี้
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศ สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งสหรัฐฯ ให้ประณามอย่างเปิดเผยต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และกดดันคู่กรณีของความขัดแย้งทุกฝ่ายให้คุ้มครองพลเรือน สหรัฐฯ ต้องหยุดเตะถ่วง และยอมให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงทันที
ซาเลห์ ฮีกาซี รองผู้อำนวยการภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซารุนแรงขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีการนองเลือดของพลเรือนที่เพิ่มขึ้นอีกมาก รวมทั้งการทำลายบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทุกฝ่ายในความขัดแย้งครั้งนี้ ต่างมีพันธกรณีอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่จะต้องคุ้มครองพลเรือน พวกเขาต้องรำลึกว่า ในปัจจุบันศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อมูลอย่างเต็มที่ และพวกเขาต้องไม่คิดเอาเองว่า จะสามารถลอยนวลพ้นผิดจากการละเมิดแบบที่ผ่าน ๆ มาได้
“ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายกับการปะทะกันอย่างน่ากลัวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2551, 2555 และ 2557 อันเป็นเหตุให้พลเรือนต้องเป็นฝ่ายรับเคราะห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและการทำลายทรัพย์สินเกิดขึ้นในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นดินแดนที่ถูกปิดกั้นอย่างผิดกฎหมาย และมีลักษณะเป็นการลงโทษแบบเหมารวมตั้งแต่ปี 2550
“ทุกฝ่ายในความขัดแย้งครั้งนี้ ต่างมีพันธกรณีอย่างเบ็ดเสร็จที่จะต้องคุ้มครองพลเรือน” ซาเลห์ ฮีกาซี แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุ
“ทั้งกองกำลังอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ได้ก่ออาชญากรรมสงคราม และการละเมิดอย่างอื่นโดยไม่ต้องรับผิดมาก่อน อิสราเอลมีสถิติที่น่าเศร้าใจจากการโจมตีอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายในฉนวนกาซา ทั้งการสังหารและทำให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งการก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ก็ได้ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยไม่ต้องรับผิดเช่นกัน”
เหตุการณ์สู้รบระหว่าง 2 ฝ่ายสร้างความกังวลใจต่อสถานการณ์ด้านมนุษยชนธรรมจากอย่างน้อย 2 สาเหตุ กล่าวคือ การที่ทั้งสองฝ่ายเลือกใช้อาวุธที่สร้างความเสียหายในวงกว้างเกินไป จำกัดไม่ได้ว่าใครเป็นพลเรือนใครเป็นเป้า ขัดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ฮามาสด้วยการทำโทษแบบเหมารวม (collective punishment) ที่ไม่แบ่งแยกคู่ขัดแย้งหรือพลเรือนออกจากกัน
อย่างไรก็ดี แอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนล เรียกร้องให้มีการแก้ไขจากรากเหง้าของปัญหา
“ประชาคมระหว่างประเทศยังต้องกดดันอิสราเอลให้แก้ไขสาเหตุที่รากเหง้า โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นรอบนี้ เป็นผลมาจากการลอยนวลพ้นผิดอย่างยาวนานจากอาชญากรรมสงคราม และการละเมิดอย่างร้ายแรงอื่น ๆ ต่อกฎหมายระหว่างประเทศ”
“สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ต้องแสดงจุดยืนที่หนักแน่นและเปิดเผย และประกาศใช้มาตรการห้ามซื้อขายอาวุธที่รอบด้านต่ออิสราเอล กลุ่มฮามาส และกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ โดยทันที โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคู่กรณีในความขัดแย้งนี้อีก”
“ประชาคมระหว่างประเทศยังต้องกดดันอิสราเอลให้แก้ไขสาเหตุที่รากเหง้า โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นรอบนี้ เป็นผลมาจากการลอยนวลพ้นผิดอย่างยาวนานจากอาชญากรรมสงคราม และการละเมิดอย่างร้ายแรงอื่น ๆ ต่อกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งการขยายการพัฒนาพื้นที่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย การปิดกั้นการเข้าออกของฉนวนกาซา และการบังคับขับไล่และยึดครองพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์ อย่างที่เกิดขึ้นกับคนที่อาศัยอยู่ในเขตชีค จาร์ราห์ (Sheikh Jarrah)” ซาเลห์ ฮีกาซีกล่าว










