ทรัมป์กับความฝันรางวัลโนเบล จากผู้นำที่เคยขู่จะระเบิดโลก สู่การไขว่คว้ารางวัลสันติภาพ

ทรัมป์กับความฝันรางวัลโนเบล จากผู้นำที่เคยขู่จะระเบิดโลก สู่การไขว่คว้ารางวัลสันติภาพ

พูดถึง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ภาพแรกที่หลายคนนึกถึงคงไม่ใช่นักสันติภาพ แต่คือชายที่ขู่จะระเบิดเกาหลีเหนือ สั่งโจมตีอิหร่าน และเชื่อว่ากำแพงคอนกรีตสามารถปกป้องอเมริกาได้ 

แต่มาวันนี้ เขากลับประกาศตัวว่าเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพของโลก’ และคู่ควรกับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ตั้งแต่พูดถึงรางวัลนี้ครั้งแรกเมื่อ 6 ปีก่อน ทรัมป์ก็ไม่เคยหยุดพูดถึงมัน — ทั้งบนเวทีสหประชาชาติ ในการหาเสียง และต่อหน้าผู้นำต่างประเทศ

ไม่มีใครรู้เหตุผลแท้จริงว่า ทำไมทรัมป์ถึงอยากครอบครองรางวัลนี้ สำหรับบางคน ‘โนเบล’ คือรางวัลแห่งสันติภาพ แต่สำหรับทรัมป์ มันอาจเป็น ‘เครื่องหมายของการยอมรับ’  สิ่งเดียวที่เขารู้สึกว่าโลกยังไม่เคยมอบให้ หรือบางที มันอาจเป็น ‘เหรียญแห่งศักดิ์ศรี’ ที่เขาอยากใช้เขียนตอนจบใหม่ให้กับชีวิตทางการเมืองของตัวเอง

 

เมื่อความยิ่งใหญ่กลายเป็นเป้าหมายเหนือสันติภาพ

เรื่องรางวัลโนเบลสันติภาพไม่ใช่สิ่งที่ทรัมป์เพิ่งพูดถึงในปีนี้ เขาเริ่มเอ่ยถึงมันตั้งแต่ปี 2019 หลังการประชุมครั้งประวัติศาสตร์กับ ‘คิม จองอึน’ ที่สิงคโปร์

วันนั้น ทรัมป์เล่าว่า “นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น ได้ส่งจดหมายเสนอชื่อผมเข้าชิงรางวัลโนเบลสันติภาพ” แม้รัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธ แต่จดหมายนั้นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ความฝันโนเบล’ ที่ทรัมป์พูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกในเกือบทุกเวที

เขามักเทียบตัวเองกับบารัก โอบามา ที่ได้รับรางวัลนี้เพียง 9 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง พร้อมพูดกึ่งตลกกึ่งประชดว่า “พวกเขาให้รางวัลกับโอบามา ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย… ผมทำมากกว่านั้นเยอะ แต่ไม่เคยได้รางวัลเลยสักครั้ง”

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่พูดถึง ‘สันติภาพ’ เขามักโยงกลับมาที่ ‘โนเบล’ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพบกับคิม จอง อึน ไปจนถึง Abraham Accords ที่เปิดความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับในปี 2020 สำหรับทรัมป์ ดูเหมือนทุกข้อตกลงในโลกต้องจบด้วยคำว่า ‘โนเบล’

และเมื่อเข้าสู่ปี 2025 ความพยายามนั้นยิ่งชัดเจนกว่าเดิม หลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ทรัมป์ยังคงพูดถึง ‘สันติภาพ’ ด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่า เขาจะมีเดิมพันที่สูงขึ้น

นักวิเคราะห์มองว่า สิ่งที่ทรัมป์ต้องการอาจไม่ใช่ชื่อเสียงระยะสั้น แต่คือ ‘การจารึกในประวัติศาสตร์’ ในแบบที่เขาอยากให้โลกจำ ต่างจากผู้นำทั่วไปที่ต้องการยุติสงครามเพื่อสร้างสันติภาพ ทรัมป์กลับดูเหมือนต้องการยุติสงครามเพื่อ ‘ยืนยันความยิ่งใหญ่ของตัวเอง’

 

เวทีสันติภาพ หรือซีนโชว์ออฟของทรัมป์

ความทะเยอทะยานในการเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลของทรัมป์ยิ่งชัดขึ้น เมื่อมีรายงานว่า เขาตั้งเงื่อนไขกับรัฐบาลมาเลเซียก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนนี้ ว่าจะเดินทางมาร่วมประชุมก็ต่อเมื่อเขาได้รับบทบาทเป็น ‘ประธานการลงนามสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา’

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยออกมาด้วยว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ได้ร้องขอไม่ให้มีเจ้าหน้าที่จีนเข้าร่วมในพิธี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาพว่าจีนเป็นผู้สร้างสันติภาพในภูมิภาค หรือพูดง่ายๆ ทรัมป์ต้องการให้วันนั้นเป็น ‘เวทีของเขาแค่คนเดียว’

แม้ทำเนียบขาวจะรีบปฏิเสธ แต่ข่าวนี้ก็จุดกระแสวิจารณ์ขึ้นมาทันทีว่า ‘สันติภาพ’ อาจกำลังถูกใช้เป็น ‘ฉากโชว์ทางการเมือง’ มากกว่าเป้าหมายที่แท้จริง

ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ยังสร้างแรงกดดันให้กับมาเลเซียในฐานะเจ้าภาพ เพราะสังคมมองว่าสหรัฐฯ ยังคงสนับสนุนอิสราเอลในสงครามกาซา จึงไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ‘อ่อนข้อให้ทรัมป์’

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า สำหรับทรัมป์ ‘สันติภาพ’ ไม่ได้หมายถึงเพียงการหยุดยิง แต่ยังรวมถึง ‘การจัดฉากและควบคุมภาพ’ เพื่อจารึกชื่อของเขาไว้ในประวัติศาสตร์ และหากภาพนั้นเกิดขึ้นจริง มันอาจไม่ใช่แค่ฉากแห่งสันติภาพ  แต่คือ ‘ฉากปิดทอง’ ชายที่ยังรอวันที่โลกจะยอมมอบเหรียญโนเบลให้กับเขา

 

ทรัมป์อาจไม่ใช่สันติภาพของโลก

แม้ทรัมป์จะพูดเรื่อง ‘สันติภาพ’ มากเพียงใด แต่สำหรับคณะกรรมการโนเบลในนอร์เวย์ เขายังอยู่ไกลจากคำว่า ‘คู่ควร’

นักวิเคราะห์จาก The Week และ Reuters ชี้ว่า ทรัมป์เชื่ออย่างสุดใจว่าเขามี ‘ความสามารถเฉพาะตัวในการยุติสงครามของโลก’ โดยไม่ต้องพึ่งองค์กรระหว่างประเทศใด ๆ แต่ในความจริง สงครามในยูเครนและกาซาก็ยังดำเนินต่อ แม้เขาจะอ้างว่า ‘ตัวเองยุติสงครามมาแล้วถึงเจ็ดครั้ง’

ผู้เชี่ยวชาญจาก Peace Research Institute Oslo เสริมว่า ทรัมป์พูดถึงสันติภาพเหมือน ‘ดีลธุรกิจ’ คือ เร็ว ตรงจุด และต้องมีภาพจบสวยงาม แม้ความพยายามบางอย่าง เช่น Abraham Accords จะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ‘เขาเป็นผู้เปลี่ยนโลก’

อีกเหตุผลสำคัญคือ นิสัยของทรัมป์เอง เขาพูดถึงรางวัลนี้อย่างเปิดเผยเกินไป ทั้งบนเวทีหาเสียงและต่อหน้าผู้นำต่างประเทศ หนึ่งในกรรมการโนเบลถึงกับบอกกับ Reuters ว่า “คนที่พยายามล็อบบี้รางวัลให้ตัวเอง มักมีโอกาสน้อยที่สุด”

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็ยังถูกวิจารณ์ว่าทำในสิ่งตรงข้ามกับเจตนารมณ์ของอัลเฟรด โนเบล แทนที่จะส่งเสริมความร่วมมือ เขากลับถอนสหรัฐฯ จากหลายองค์กร เปิดสงครามการค้ากับพันธมิตร และใช้ทหารควบคุมการประท้วงในประเทศตัวเอง

“เขาพูดถึงสันติภาพในขณะที่ยังถือระเบิดอยู่ในมือ” นักวิชาการชาวนอร์เวย์กล่าวอย่างตรงไปตรงมากับสำนักข่าว AFP ประโยคนี้อาจเป็นคำอธิบายที่ชัดที่สุดว่า ทำไมรางวัลนี้ถึงยังไม่ใช่ของเขา

 

เมื่อรางวัลคือเวที และภาพจำคือชัยชนะ

ในสายตาของทรัมป์ ‘สันติภาพ’ อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่อาจเป็นเพียง เครื่องมือระหว่างทาง เขาใช้คำว่าสันติภาพเหมือนใช้คำว่า ‘ดีล’  ที่ต้องมีผู้ชนะ มีภาพจับมือ และมีใครบางคนที่ได้เครดิต และในทุกดีล เขามักพยายามให้ชื่อของตัวเองอยู่ตรงกลาง

ทรัมป์อาจไม่ใช่นักสันติภาพในแบบของอัลเฟรด โนเบล แต่เขาเข้าใจดีว่า ‘สันติภาพ’ ก็สามารถกลายเป็น แบรนด์หนึ่งได้

ในโลกที่ทุกอย่างแข่งกันด้วยภาพและเรื่องเล่า เขามองรางวัลโนเบลไม่ต่างจากเวทีแห่งเกียรติยศ มันไม่ใช่จุดหมายเพื่อยุติสงคราม แต่คือฉากที่เขาอยากยืนอยู่ท่ามกลางเสียงปรบมือ

และบางที นั่นอาจคือเหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาอยากได้มันนัก ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าเขาสร้างสันติภาพ แต่เพื่อให้โลกพูดถึงชื่อของเขา ในฐานะคนที่ สมควรได้โนเบล แม้ไม่เคยได้มันเลยก็ตาม

PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง