“ผมก็ชาวบ้านคนนึง อยู่ต่างจังหวัด ทำไร่ ทำสวน ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินเดือนเจ็ดหมื่น เก้าหมื่นจากที่ไหนในประเทศไทย” เสียงของ ‘โตโน่’ หรือ ฤทธิชัย พลาจันทร์ อดีตแรงงานไทยในอิสราเอล ฟังดูเรียบง่าย แต่หนักแน่นพอจะทำให้ต้องหยุดคิดตาม
เพราะเบื้องหลังของประโยคนี้ คือเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เคยเกือบเฉียดตายในดินแดนสงคราม แต่ก็ยังเลือกกลับไปอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
เมื่อสองปีที่แล้ว วันที่ 7 ตุลาคม 2023 คือวันที่เสียงไซเรนและระเบิดเปลี่ยนชีวิตผู้คนในอิสราเอลไปตลอดกาล วันนั้น ฮามาสบุกโจมตีพื้นที่ชายแดนตอนใต้ คร่าชีวิตผู้คนกว่าพันคน รวมถึงแรงงานไทยอย่างน้อย 42 คน
แม้สงครามจะยังไม่สิ้นสุด และวันนี้จะครบ สองปีเต็มของเหตุการณ์นั้น แต่อิสราเอลก็ยังคงเป็น ‘จุดหมายปลายทาง’ ของแรงงานไทยหลายพันคน รวมถึงโตโน่เอง ที่เคยกลับไปทำงานอีกครั้งหลังผ่านความเป็นความตายมาเพียงไม่กี่เดือน
ชีวิตแรงงานไทย กลางสมรภูมิ
โตโน่เคยไปทำงานที่อิสราเอลถึงสองครั้ง ครั้งแรกต้องกลับเพราะสงคราม แต่เมื่อมีโอกาส เขาก็กลับไปอีก เพราะไม่มีทางเลือกอื่น และเพราะ ‘หนี้สิน’ ที่ยังรออยู่ข้างหลัง
“ผมกลับไปเพราะหนี้ครับ” เขาพูดตรงไปตรงมา “คิดแค่ว่าถ้าทำงานอีกสักพัก เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ก็คงพอปลดหนี้ได้” เขาอธิบายเหตุผลที่ตัดสินใจกลับไปทำงานในอิสราเอล เมื่อถูกเรียกตัวอีกครั้งในเดือนมกราคม 2024 หลังกลับไทยมาได้เพียง 3 เดือนเศษ
ก่อนจะขยายความต่อว่า เขาไม่ได้กลัวที่จะต้องกลับไปอิสราเอลแม้สงครามจะยังไม่สงบ เพราะมั่นใจในระบบป้องกันของที่นั่น
“จริงๆ แล้วเสียงปืน เสียงระเบิด เป็นเรื่องปกติ พอไซเรนดัง ก็รู้ว่าขีปนาวุธมา เรารีบวิ่งเข้าหลุมหลบภัย รอจนสงบ แล้วก็กลับมาทำงานต่อ เหมือนเดิมทุกวัน” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเรียบและนิ่ง ราวกับพยายามทำให้ ‘ความไม่ปกติ’ กลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน
แต่วันนั้น มันไม่ปกติ… วันที่ 7 ตุลาคม 2023 วันที่โลกทั้งใบของแรงงานไทยในอิสราเอลเปลี่ยนไป
โตโน่กำลังทำงานอยู่ในสวนดอกไม้ทางตอนกลางของประเทศเหมือนทุกวัน“ผมจำได้แม่นเลย วันนั้นมันไม่เหมือนปกติ แล้วมารู้ตอนหลังว่า ฮามาสเข้าโจมตี คนที่อยู่ภาคใต้โดนเต็มๆ มีทั้งคนถูกจับไป ทั้งคนตาย คนเจ็บ”
หลังเหตุการณ์นั้น เขาได้รับการติดต่อจากสถานเอกอัครราชทูตไทยในอิสราเอล สอบถามว่าจะกลับไทยหรือไม่ หากต้องการทางสถานทูตจะดำเนินการให้ทั้งหมด
“เขาถามผม แต่จริงๆ ผมไม่อยากกลับนะ ผมยังยื่นข้อเสนอกับเขาเลยว่า ขอให้หางานที่มีนายจ้างรับรองให้ผมได้ไหม แล้วผมจะไม่กลับ” แต่ในที่สุด โตโน่ก็ต้องกลับไทย เพราะตอนนั้นเขาหลุดจากระบบ ไม่มีนายจ้างรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากอยู่ต่อก็เสี่ยงเกินไป
โตโน่อธิบายว่า ตอนเริ่มต้นเขาทำงานอยู่ทางเหนือของอิสราเอล แต่รู้สึกว่าได้รับค่าจ้างไม่เป็นธรรม “จริงๆ แรงงานไทยควรได้ชั่วโมงละ 30 เชก ตีเป็นเงินไทยกลมๆ ก็ประมาณ 300 บาท แต่ผมได้แค่ 20–21 เชก”
เมื่อมีเพื่อนชวนให้ย้ายมาทำงานในภาคกลาง ซึ่งค่าจ้างดีกว่า เขาจึงตัดสินใจย้าย แต่ยังไม่ทันที่นายจ้างใหม่จะดำเนินเรื่องเอกสารรับรองอย่างถูกต้อง สงครามก็ปะทุขึ้นก่อน “เลยกลายเป็นว่าผมไม่มีเอกสารในระบบ ถ้าอยู่ต่อแล้วเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรับผิดชอบได้”
เสียงระเบิด กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
อีกฟากหนึ่งของอิสราเอล เรวัต แรงงานไทยที่ยังคงทำงานอยู่ในเขตใกล้ฉนวนกาซา เล่าให้ฟังในเช้าวันที่เราติดต่อไปว่า ตอนนี้เขาทำงานเก็บผลไม้อยู่ที่คิบบุตซ์แห่งหนึ่งใกล้ชายแดน
“ตอนที่ฮามาสบุก ผมยังไม่ได้มา ผมทำงานอยู่ที่ไต้หวัน ตอนนั้นเห็นข่าวจากไกลๆ เหมือนคนอื่นเลย” หลังสงครามช่วงแรกผ่านไป นายจ้างเก่าติดต่อกลับมาชวนให้กลับไปทำงานที่เดิม พร้อมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการกลับมาอิสราเอลอีกครั้ง
วันนี้ เขายังคงอยู่ในพื้นที่เดิม เสียงระเบิดกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน “ฝั่งนู้นยิงมาบ้าง ฝั่งนี้ยิงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจากฝั่งอิสราเอลที่ยิงเข้าไปในกาซา ส่วนที่กาซายิงมาก็มี แต่จะถูก Iron Dome สกัดไว้ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง เหมือนเล่าความจริงข้อหนึ่งของชีวิต
เรวัตเล่าว่า ก่อนหน้านี้ เขาเคยไปทำงานต่างประเทศมาแล้ว ทั้งที่ไต้หวันและโปรตุเกส แต่เหตุผลที่กลับมาอิสราเอลอีกครั้ง เป็นเพราะ “รายได้ในอิสราเอลมันดีกว่าที่อื่นครับ หนี้สินทางบ้านเยอะ ผมเลยต้องมาอีก” ประโยคสั้นๆ ที่แรงกว่าคำอธิบายใดๆ
เมื่อโอกาส มาพร้อมกับความเสี่ยง
ไม่ใช่แค่โตโน่หรือเรวัต แต่ยังมีแรงงานไทยอีกหลายพันคนที่ตัดสินใจเดินทางไปอิสราเอล ทั้งที่สงครามยังไม่จบ และเสียงระเบิดยังดังอยู่แทบทุกวัน
คำถามคือ “อะไรทำให้พวกเขายังเลือกไปอิสราเอล?”
โตโน่อธิบายว่า หากมองหางานต่างประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรปหรือเกาหลีใต้ เงื่อนไขกลับยากกว่าเยอะ ทั้งเรื่องภาษาและขั้นตอน “ยุโรปนี่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ สื่อสารไม่ได้ก็ลำบาก ส่วนเกาหลีเขาให้ไปได้แต่ต้องสอบภาษา เรียนกันเป็นปี”
ในทางตรงกันข้าม อิสราเอลดูเหมือนเปิดทางมากกว่า นายจ้างหลายรายรับแรงงานไทยผ่านโควตาของรัฐ ไม่ต้องสอบภาษา ไม่ต้องมีใบปริญญา ขอเพียงมีแรงและความอดทน
“งานที่นั่นเป็นงานหนัก แต่ก็หนักแบบที่เราคุ้น ทำไร่ ทำสวน กลางแดด กลางแจ้ง เหมือนทำในบ้านเรา เพียงแต่เงินที่แลกมามันต่างกันมาก” โตโน่เล่าให้ฟัง
ก่อนที่เขาจะอธิบายต่อว่า “แรงงานเกษตรในอิสราเอลได้รับค่าจ้างเฉลี่ยราว 30 เชกต่อชั่วโมง หรือประมาณ 300 บาทไทย สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในไทยหลายเท่าตัว “แค่แลกเหงื่อเป็นเงินที่มากพอจะส่งกลับบ้านได้ทุกเดือน”
เรวัตเองก็ยืนยันคล้ายกัน งานที่อิสราเอลไม่ได้สบาย พวกเขาต้องทำงานท่ามกลางแดดร้อนจัดบางที “แดดแรงจนเลือดกำเดาไหลก็ต้องทำต่อ”
สองปีผ่านไปจากวันที่โลกทั้งใบสั่นสะเทือน
ข้อมูลทางการระบุว่า ก่อนวันที่ 7 ตุลาคม 2023 มีแรงงานไทยประมาณ 30,000 คน ทำงานอยู่ในภาคเกษตรของอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในภาคกลางและตอนใต้ของประเทศ
แต่หลังเหตุการณ์นั้น ตัวเลขกลับเพิ่มขึ้น
โดยตามรายงานของสื่ออิสราเอล Ynet จำนวนแรงงานต่างชาติ (ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไทย) เพิ่มจาก 30,259 คน ก่อนเหตุโจมตีของฮามาส เป็นกว่า 35,000 คน ภายในกลางปี 2024
และล่าสุด กระทรวงแรงงานไทยประเมินว่ามีแรงงานไทยอยู่ในอิสราเอลราว 40,000 คน
สำหรับหลายครอบครัวในชนบท ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนยังไม่ถึง 30,000 บาท รายได้จากต่างประเทศจึงยังเป็น ‘เส้นเลือดหลัก’ ที่หล่อเลี้ยงชีวิต แม้จะต้องแลกกับความเสี่ยงที่ไม่มีใครบอกได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด
แม้เสียงระเบิดยังไม่จาง อิสราเอลยังเป็นจุดหมายของแรงงานไทย
แม้วันนี้จะครบสองปีเต็มของวันที่ 7 ตุลาคม 2023 วันที่เสียงไซเรนและระเบิดครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตผู้คนในอิสราเอลไปตลอดกาล แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นคือแรงดึงดูดของ ‘โอกาสทางเศรษฐกิจ’ ที่ยังไม่จางหาย
โตโน่เอง หลังกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านในภาคอีสาน ก็ยังคงแชร์ประสบการณ์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ฤทธิชัย พลาจันทร์’ อย่างต่อเนื่อง เขาโพสต์ให้คำแนะนำกับคนที่กำลังหาข้อมูลการไปทำงานที่อิสราเอล ตั้งแต่ขั้นตอนการสมัคร เอกสารที่ต้องเตรียม ไปจนถึงการปรับตัวในชีวิตจริง ราวกับต้องการบอกคนรุ่นหลังว่า “เส้นทางนี้ไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่เกินแรงคนที่พร้อมจะสู้”
แน่นอนว่า โตโน่และเรวัตไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนี้ และคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่ต้องเดินทางไกล เพื่อแลกชีวิตที่ปลอดภัยกับโอกาสในการหลุดพ้นจากหนี้สิน เพราะในวันที่ค่าครองชีพยังสูงกว่ารายได้เฉลี่ย ความฝันถึง ‘เงินเดือนเจ็ดหมื่น’ สำหรับชาวบ้านธรรมดา… อาจไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่เป็นเพียงความหวังเล็กๆ ว่า เมื่อกลับถึงบ้าน ชีวิตของพวกเขาอาจดีขึ้นกว่าเดิมอีกสักนิด










