‘นิวเคลียร์คือทางรอด’ บทเรียนจากสงครามตะวันออกกลาง อาจกระตุ้นเกาหลีเหนือเร่งพัฒนานิวเคลียร์

‘นิวเคลียร์คือทางรอด’ บทเรียนจากสงครามตะวันออกกลาง อาจกระตุ้นเกาหลีเหนือเร่งพัฒนานิวเคลียร์

สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังคงไร้ทีท่าจะคลี่คลาย นับตั้งแต่ ปฏิบัติการ ‘Rising Lion’ ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ล่าสุด อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธตอบโต้ถล่มเป้าหมายหลายแห่งในอิสราเอล ทั้งในกรุงเทลอาวีฟ ไฮฟา บัตยัม เรโฮโวต ทัมรา และนครเยรูซาเล็ม ตั้งแต่วันอาทิตย์ต่อเนื่องจนถึงวันจันทร์ (15-16 มิ.ย.) ทำให้ความรุนแรงทวีขึ้นอย่างน่ากังวล

การตอบโต้ของอิหร่านเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของ นายพลโมฮัมหมัด คาเซมี หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง IRGC และรองหัวหน้า ฮัสซัน โมฮากิก จากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในวันอาทิตย์ ซึ่งนับเป็นการสูญเสียเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกครั้งของอิหร่าน

ขณะที่จากการเปิดเผยของทางการ ตัวเลขผู้เสียชีวิตในฝั่งอิหร่านพุ่งสูงถึง 224 คน และบาดเจ็บกว่า 1,200 คน ส่วนอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ตัวเลขเหล่านี้ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการโจมตีที่ยังไม่หยุดยั้ง

 

ความตึงเครียดยังไร้สัญญาณคลี่คลาย

แม้มีเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น แต่ทั้งอิสราเอลและอิหร่านยังคงยืนยันที่จะสู้รบต่อ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าความขัดแย้งนี้จะบานปลายไปสู่สงครามระดับภูมิภาคหรือไม่? 

สำนักข่าวบีบีซีได้วิเคราะห์สถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น โดย ความเสี่ยงอันดับแรกคือสหรัฐฯ อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง หากฐานทัพหรือพลเมืองสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบโดยตรง แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการของอิสราเอล แต่เขาก็ประกาศกร้าวว่า หากฐานทัพสหรัฐฯ ถูกโจมตี อิหร่านจะต้องเผชิญการตอบโต้ “อย่างรุนแรงและหนักหน่วง”

จุดเปราะบางคือ หากขีปนาวุธของอิหร่านพลาดเป้าไปโดนฐานทัพ หรือคร่าชีวิตพลเมืองสหรัฐฯ ในภูมิภาค อาจเป็นชนวนให้สหรัฐฯ เข้าร่วมความขัดแย้งอย่างเต็มตัว

อีกความเป็นไปได้ที่น่ากังวลคือ อิสราเอลอาจประเมินศักยภาพของอิหร่านต่ำเกินไป หากอิหร่านมีขีดความสามารถในการตอบโต้ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล หรือแม้แต่เทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ซ่อนอยู่จริง ความเสียหายต่ออิสราเอลอาจรุนแรงเกินควบคุม และอาจทำให้พันธมิตรในภูมิภาคของอิสราเอลต้องเข้าร่วมแนวรบโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ขีปนาวุธของอิหร่านสามารถทะลวงระบบป้องกัน Iron Dome ของอิสราเอลได้ในบางครั้ง ก็เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าความได้เปรียบทางเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์ในอดีต อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะกำหนดชัยชนะในสงครามครั้งนี้ 

ในทางกลับกัน หากอิหร่านเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ก็อาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะหากความสูญเสียภายในประเทศรุนแรงถึงขั้นทำให้โครงสร้างอำนาจของรัฐบาลเตหะรานสั่นคลอน ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลเคยประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเพียงแค่หยุดยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ยังมุ่งหวังให้ระบอบการปกครองในอิหร่านต้องถูกเปลี่ยนด้วย 

ล่าสุด มีรายงานจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยกับสำนักข่าว AFP ว่า อิสราเอลเคยเสนอแผนลอบสังหาร อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน แต่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์คัดค้านและเตือนไม่ให้ทำให้สถานการณ์ลุกลาม 

อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮูให้สัมภาษณ์กับ Fox News โดยเลี่ยงตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ย้ำว่า “อิสราเอลจะทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และสหรัฐฯ เข้าใจดี” 

ขณะที่ทรัมป์เองก็ยังคงมองว่า อิสราเอลและอิหร่านยังคงมีทางออกในการเจรจา แม้ว่าอิหร่านจะปฏิเสธ ทรัมป์กล่าวว่า “บางที เราอาจต้องปล่อยให้พวกเขาสู้กันไปให้รู้เรื่อง แล้วเราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่ายังมีโอกาสดีที่จะมีข้อตกลงเกิดขึ้นได้” 

 

นิวเคลียร์คือทางรอด บทเรียนจากอิหร่านถึงเกาหลีเหนือ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลแค่ในตะวันออกกลาง แต่ยังทำให้โลกจับตาประเทศที่อยู่ใน ‘แกนต่อต้านตะวันตก’ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ เกาหลีเหนือ

โรเบิร์ต เคลลีย์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติปูซาน เกาหลีใต้ อธิบายว่า การโจมตีอิหร่านอาจทำให้หลายประเทศพิจารณาที่จะหันไปแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วและลับที่สุด 

เคลลีย์บอกว่า เขาเชื่อว่าการโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้ จะทำให้อิหร่านมุ่งมั่นพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ และโอกาสที่อิหร่านจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์จะลดลงทันที เพราะอิหร่านมองว่าการมีนิวเคลียร์คือการปกป้องตัวเอง และสิ่งนี้เองก็อาจจะทำให้ประเทศอื่นๆ ที่ต่อต้านตะวันตก เช่น เกาหลีเหนือ ทำตาม เพราะเห็นบทเรียนจากอิหร่านว่าการปลดนิวเคลียร์เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของตนเอง 

เกาหลีเหนือเองมีนโยบายอนุญาตให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้แม้ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงมาก และมีประวัติการแพร่อาวุธอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ และพันธมิตรจะพยายามเรียกร้องให้เกาหลีเหนือปลดนิวเคลียร์มานานกว่า 30 ปีแล้ว และเคยมีการถกเถียงเรื่องนโยบายแลกเปลี่ยน เช่น การยกเลิกคว่ำบาตร หรือความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกาหลีเหนือยอมจำกัดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์และเปิดให้ตรวจสอบจากภายนอก 

แต่การโจมตีของอิสราเอลครั้งนี้อาจพิสูจน์ให้เกาหลีเหนือเห็นว่าไม่ควรทำเช่นนั้นเด็ดขาด อาวุธนิวเคลียร์คือเกราะคุ้มกันที่ทำให้เกาหลีเหนือรอดจากการโจมตีลักษณะนี้มาตลอด 

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในตะวันออกกลางตอนนี้ ยังทำให้หลายฝ่ายมองว่า หากความขัดแย้งบานปลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ อาจทำให้สหรัฐฯ ต้องจัดลำดับความสำคัญในการวางกำลังพลใหม่ และถอนกำลังออกจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อให้ความสำคัญกับตะวันออกกลางมากขึ้น 

หากเป็นเช่นนั้น จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเอเชีย-แปซิฟิกอย่างมาก เพราะในภูมิภาคนี้ยังคงมีภัยคุกคามจากเกาหลีเหนืออยู่ การที่สหรัฐฯ ถอนกำลังออกไป อาจทำให้เกาหลีเหนือมองเห็นช่องทางในการยกระดับการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ จนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต้องเร่งยกระดับการป้องกันตนเอง

เพราะต้องไม่ลืมว่า เกาหลีเหนือและอิหร่านมีความสัมพันธ์ทางการทหารที่ไม่เปิดเผยมานาน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาขีปนาวุธ ซึ่งหากอิหร่านยังคงดำเนินโครงการนิวเคลียร์ต่อไปโดยไม่มีการควบคุม ก็มีโอกาสที่เกาหลีเหนือจะได้รับบทเรียนว่า ‘การสร้างอาวุธนิวเคลียร์เป็นหลักประกันความอยู่รอด’ 

PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง