ละครไทย ซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อ ไม่ไปไหน? จะหาคำตอบได้ ว่าสมคำร่ำลืออย่างที่ครหากันหรือไม่ คงไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่า กระโจนเขาไปพิสูจน์ อย่างที่ นุชี่ – อนุชา บุญยวรรธน ท้าทายตัวเอง
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ของคนบางกลุ่มว่า ละครไทยยังวนอยู่กับ ‘สูตรเดิม’ ขณะที่ซีรีส์กลายเป็นเครื่องมือผลักดัน Soft Power ที่ทรงพลังในต่างประเทศ ทว่า ผู้ชมต่างชาติจะซื้อแค่ซีรีส์ที่ฉายภาพที่เชื่อว่า “ไทยเป็น” หรือไม่
ระหว่าง ‘ภาพจำ’ กับ ‘สิ่งที่เราอยากนำเสนอในเวทีโลก’ ไทยควรขายอะไรให้ต่างชาติเชื่อ? หาคำตอบไปกับ นุชี่ – อนุชา บุญยวรรธนะ ผู้กำกับมือรางวัล ผู้อยู่เบื้องหลังซีรีส์และภาพยนตร์ รวมถึงละครไทย ถึงบทบาทของ ‘เรื่องเล่าไทย’ ในสมรภูมิเนื้อหานานาชาติ และโจทย์สำคัญของอุตสาหกรรมบันเทิง ในวันที่ซีรีส์โตสวนทางละคร
[ ประสบการณ์กำกับละครไทยเรื่องแรก ]
หากใครติดตามแวดวงภาพยนตร์ไทย คงรู้จัก ‘พี่นุชี่’ ตามคำเรียกขานในการให้สัมภาษณ์ในหลายครั้ง โดยก่อนหน้านี้ สร้างชื่อในงานสายภาพยนตร์อินดี้ อย่าง มะลิลา ที่ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ และผลงานซีรีส์ของ GMMTV อย่าง หอนี้ชะนีแจ่ม Girl Next Room ตอน ยามหล่อ.. บอกต่อว่ารัก และ NOT ME เขา… ไม่ใช่ผม
ปัจจุบัน เธอเป็นนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และก้าวเข้ามากำกับละครไทยเรื่องแรก หวานรักต้องห้าม ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ พร้อมพิสูจน์ด้วยตนเอง ที่เขาว่ากันว่า ละครไทย “ซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อ ไม่ไปไหน” จะเป็นจริงไหม และระหว่างทางเธอจะเจอปัญหา และรับมือกับผลที่ออกมาอย่างไรบ้าง
“เราเป็นผู้กำกับหนังอิสระมาก่อน เรื่องที่เราทำออกแนวคนดูจะต้องตั้งใจดู เนื้อเรื่องนำเสนอประเด็นที่สื่อหลักอาจไม่ค่อยพูดถึง หรือขายได้ยาก คนดูมีจำนวนจำกัด แต่สำหรับละครโทรทัศน์ มีจำนวนคนดูทั่วบ้านทั่วเมือง เนื้อเรื่องจึงจำเป็นที่จะต้องขายได้ในวงกว้าง เราเลยอยากรู้ว่า ถ้าเราได้เข้าไปทำงานในกระบวนการเหล่านี้ มันจะสมคำร่ำลืออย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า”
“เอาเข้าจริงวิธีการทำงานก็ไม่ได้ต่างกัน ซึ่งแปลกมาก เพราะสำหรับเรื่อง หวานรักต้องห้าม ที่เป็นเรื่องราวของความรักต่างวัย และได้แรงบันดาลใจจากละครเรื่อง บัวปริ่มน้ำ ที่เป็นละครตบตี จริงๆ เราเติบโตมากับละครแนวนี้ และอยากลองทำมานานแล้ว”
“เราอยากลองดูว่า เราจะนำเสนอละครแนวนี้ออกมาในแบบของเราได้ยังไง ปรากฏว่า เราก็สามารถนำเสนอศิลปะทางภาพยนตร์ ศิลปะการเล่าเรื่องออกมาในแบบของเราได้นะ โดยที่ทางสถานี หรือ ผู้จัด ก็ไม่ได้เข้าห้ามปรามอะไรเยอะมาก”
การทำละครเรื่อง หวานรักต้องห้าม นุชี่เลือกใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบเดียวกับภาพยนตร์ คือ ‘ใช้กล้องตัวเดียว’ แทนที่จะใช้หลายกล้อง แล้วเปลี่ยนมุมกล้องเหมือนการถ่ายทำละคนไทยทั่วไป ดูเหมือนผู้ชมจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ อย่าง ช็อตโคลสอัพให้เห็นการแสดงสีหน้าของนักแสดงอย่างชัดเจน ซึ่งคนดูบางส่วนอาจไม่คุ้นเคย

นอกจากนี้ เนื้อเรื่องละคร อาจจะไม่ได้เล่าเรื่องตัวละครเอก ที่ต้องเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ แต่เพิ่มความมีเป็นมนุษย์ ที่กระทำทั้งเรื่องดี และร้าย ก่อนจะได้เรียนรู้ผลจากการกระทำของตัวเอง ยิ่งกว่านั้น บทสรุปท้ายเรื่อง อาจจะไม่จำเป็นต้องได้รับจากการกระทำทุกอย่าง เหมือนละครไทยสมัยก่อน แต่ก็เปิดช่องให้คนได้เรียนรู้ว่า สิ่งไหนดีไม่ดี เรื่องไหนควรไม่ควร ผ่านภาพสะท้อนสังคมที่เกิดขึ้นอย่างสมจริง
ถ้าคนดูจะขัดใจกับผลลัพธ์ของแต่ละตัวละครบ้าง ก็เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจ และการตอบรับก็พอให้นุชี่ชื่นใจ ด้วยได้รับคำชื่นชม ว่าเป็นการนำเสนอที่แปลกใหม่ดี เหมือนผลงานต่างประเทศ ดูมีความสมจริง ไม่ดูละครจนเกินไป แม้ว่า บางส่วนอาจจะไม่ชอบ แต่เธอกลับมองในแง่ดีว่า อย่างน้อยคนกลุ่มนี้ ก็ได้สัมผัสประสบการณ์ของเทคนิคการถ่ายทำ ประเด็น และวิธีการเล่าเรื่องลักษณะนี้แล้ว เพื่อโอกาสที่จะเปิดรับมากขึ้นในอนาคต
ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์อิสระ นุชี่ มองว่า เป็นหน้าที่หนึ่งที่จะขยายการนำเสนอความเป็นไปได้ ในเชิงศิลปะภาพยนตร์ ละคร ในการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ ฉีกแนวจากกรอบเดิมๆ ให้กว้าง เพื่อสร้างความคุ้นชินให้คนดู นำไปสู่ทิศทางในการพัฒนา และเปลี่ยนแปลงวงการละครไทยในที่สุด
[ ละครไทยอยู่ในช่วงขาลง จริงหรือไม่? ]
“มันไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อน” นุชี่ ออกปาก และยอมรับว่า เข้ามาทำงานในวงการละครไทย ในช่วงขาลงจริงๆ เพราะหากย้อนไปราว 5-6 ปีที่แล้ว ยังคงเป็นช่วงเฟื่องฟู เพราะยังมีคนดูโทรทัศน์เป็นจำนวนมาก คนไทยยังเปิดทีวีดูทั้งวัน
ทว่า ปัจจุบันทีวีไม่ใช่สื่อหลักสื่อเดียวอีกต่อไป คนดูเริ่มดูคอนเทนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ สตรีมมิง มือถือ ดังนั้น การทำละครเพื่อฉายในโทรทัศน์ อาจไม่ได้มีความสำคัญมากที่สุดเท่าแต่ก่อน
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อาจยังไม่มีคู่แข่งจากนอกประเทศมากมาย คนไทยเรายังไม่ได้ดูซีรีส์จากต่างประเทศ จนเป็นเรื่องธรรมดามากขนาดนี้ ละครก็จะแข่งกันแค่สถานีโทรทัศน์ภายในประเทศ แต่ตอนนี้ หากเราจะสร้างละคร ภาพยนตร์ หรือซีรีส์ในประเทศ มันต้องแข่งกับต่างประเทศเลย เพราะแพลตฟอร์มออนไลน์ กว้างไกลไปทั่วโลก”
อย่างไรก็ดี พฤติกรรมคนดูที่ดูละครผ่านช่องทางออนไลน์ ก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียสำหรับคนทำละครไทยเสมอไป ตามความเห็นของนุชี่
“เราไม่ได้คิดในแง่ลบเพียงอย่างเดียว เรามีโอกาสมากขึ้น ในการทำละครของไทยไปขาย ให้กับตลาดคนดูต่างประเทศได้เหมือนกัน เราจะได้ฐานคนดูที่กว้างขึ้น แต่ถ้าเราทำไม่ดี เราก็จะพ่ายแพ้ย่อยยับ เพราะเราแข่งกับเขาไม่ได้” นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งใหม่ เมื่อผลลัพธ์และเสียงวิพากษ์ ไม่ได้ถูกจำกัดในกลุ่มคนดูเดิมๆ อีกต่อไป
[ คนดูละครไทยน้อยลง ทุนทำละครไทยก็น้อยลง ]
“เมื่อคนดูละครไทยน้อยลง การขายสปอนเซอร์ก็ได้น้อยลง ไม่เฟื่องฟูเหมือนสมัยก่อน ที่อยากทำอะไรก็ทำได้ ถ้าเทียบกับทุนในการสร้างของเกาหลีกับอเมริกา คือเขามีทุนสร้างสูงกว่าเรามากหลายเท่า เราต้องพยายามแข่งในด้านคุณภาพกับเขา”
นุชี่ เล่าว่า ทุนในการถ่ายทำละคร ภาพยนตร์ ซีรีส์สักเรื่องหนึ่ง ต้องแบ่งกันไป ทั้งคนทำบท เสื้อผ้า ฉาก การถ่ายทำ เวลาถ่าย การแสดง ฯลฯ ดังนั้น หากทุนสร้างน้อย ทุนในการทำบทก็น้อยลง บางคนอาจจะมองว่า ทุนเยอะหรือน้อยไม่เกี่ยวกับคุณภาพของบท ก็เป็นความจริงแค่บางส่วน เพราะ ‘บทที่ดีก็จำเป็นต้องมีการลงทุน’
อย่างที่แพลตฟอร์มใหญ่ๆ ซึ่งมีเงินลงทุนในการสร้างสูง ก็จะมีโอกาสทุ่มให้กับทีมนักเขียนบท ยิ่งมีหลายคน ก็มีโอกาสค้นคว้าหาข้อมูลที่แน่นขึ้น ใช้เวลาได้มากขึ้น
“จ้างเขียนบทในเวลา 1 ปี ก็ต้องคอยจ่ายเงินให้นักเขียนทุกเดือน ใช้นักเขียนกี่คนก็คูณไป หากทุนในการเขียนบทจำกัด ระยะเวลาในการเขียนบทน้อยลง จำนวนนักเขียนบทน้อยลง เวลาในการค้นคว้าหาข้อมูลก็อาจจะไม่มี เลยอาจกระทบต่อคุณภาพของบท”
นุชี่ ยืนยันว่า ‘เวลา’ สำคัญต่อการพัฒนาบทอย่างมาก ยิ่งเวลามากเท่าไหร่ ยิ่งหมายถึงโอกาสในการแก้ไขจุดบกพร่อง อุดรอยรั่วต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนทำให้ได้บทที่สมเหตุสมผล และสมจริง
ทั้งนี้ หนทางแก้ไขของสถานีโทรทัศน์ในปัจจุบัน จึงพยายามขยายช่องทางในการรับชม เพื่อให้ผู้ชมสามารถชมในหลากหลายแพลตฟอร์ม เพิ่มจำนวนผู้ชมให้เทียบเท่าอดีต แต่ยังคงการลงทุนที่เท่าเดิม เพื่อพยายามรักษาคุณภาพของตัวละครเอาไว้ให้ได้
[ เมื่อละครไทย ขยายฐานคนดู จาก ‘ทีวี’ ไป ‘สตรีมมิง’ ]
เชื่อว่าหลายคนก็คงคาดเดาได้ จากพฤติกรรมส่วนตัวที่รับชมรายการต่างๆ ผ่านโทรทัศน์น้อยลงไปมาก “เราว่าคนดูที่ดูละครรสชาติเดิมๆ จะมีแต่จำนวนลดน้อยลง เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ คนทำละครต้องนำเสนอรสชาติใหม่ๆ เพื่อดึงดูดผู้ชมรุ่นใหม่กลับมาดูละครไทยมากขึ้น มันจึงต้องมีการปรับเปลี่ยน”
นุชี่ กล่าวว่า คนทำละครเขารู้กันดีอยู่แล้วว่า ถ้าจะขายแต่ของเดิมๆ จำนวนคนดูก็มีแต่จะน้อยลง ดังนั้น จึงต้องปรับตัว แต่การปรับเปลี่ยนแก้ไขเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
“ละครที่ดูสมัยใหม่ เช่น มีการใส่ประเด็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน แนวคิดสตรีนิยม เพื่อให้เป็นละครที่เข้าถึงกับคนในยุคนี้ มันทำให้ละครมีความน่าดึงดูดใจ ให้คนรุ่นใหม่อยากชมมากขึ้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ยังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
ดูละคร แล้ว “คอมเมนต์” ? นุชี่ ยังยืนยันว่า การที่คนดูละครดุแล้วคอมเมนต์ ไม่ว่าจะด่าหรือชม ยังคงเป็นวิธีช่วยพัฒนาทิศทางของละครไทยให้ดีขึ้นได้ และเป็นสิ่งที่คนทำละครยังต้องการอยู่
“มันเป็นหน้าที่ของคนทำละครอยู่แล้ว ที่จะต้องตามอ่านฟีดแบ็ก คนดูสามารถคอมเมนต์ได้เลย คนทำละครจะได้ค่อยๆ ปรับให้ถูกใจ เราจะได้นำไปพิจารณาว่า เรื่องต่อไปเราจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น แม้ว่าบางอย่างอาจจะไม่ถูกใจด้วยเหตุผลบางประการ แต่อย่างน้อยหากมีคอมเมนต์มา ก็รับประกันได้เลยว่าในผลงานต่อๆ ไปมันจะมีการปรับเปลี่ยนแน่นอน”
[ กระแสซีรีส์ BL, GL จะมาแทนที่ละครไทย? ]
ถึงตอนนี้ จากกระแสซีรีส์ BL และ GL ที่กำลังเติบโตและไปได้ดีในประเทศไทย จากแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ค่อยๆ ขยับขยายขึ้นฉายบนโทรทัศน์ที่เป็นสื่อกระแสหลัก
นุชี่ มองว่า คนดูยังเป็นคนละกลุ่มกับละครโดยทั่วไป อาจจะมีความทับซ้อนกันบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แต่ก่อนคนอาจจะมองว่าโทรทัศน์ เป็นสื่อหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่ใครๆ ก็อยากมีละครฉาย แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว การเติบโตของซีรีส์ BL, GL เริ่มต้นมาจากแพลต์ฟอร์มออนไลน์ และสตรีมมิง แล้วค่อยมาลงโทรทัศน์ จึงนับว่าเป็นการขยายฐานคนดูให้กว้างขึ้นเฉยๆ มากกว่า ซึ่งละครแนวหลากหลายทางเพศแบบนี้ก็มีฐานแฟนคลับที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นทั้งจากในไทยเอง และแฟนคลับจากต่างประเทศด้วย”
นุชี่ กล่าวว่า กลุ่มคนดูซีรีส์ Bl, GL ที่เป็นคนรุ่นใหม่ กับกลุ่มคนดูละครไทย ที่เป็นผู้ใหญ่ เขาก็ยังคงดูละครไทยอยู่ หรือหากไม่ได้ชมผ่านโทรทัศน์ พวกเขาก็ยังคงเสพละครรสชาติแบบนี้ ผ่านทางช่องทางออนไลน์อื่นๆ เพียงเปลี่ยนแปลงช่องทางในการรับชมไปตามยุคสมัย คงไม่มีสิ่งใดที่จะมาทดแทนกันได้
“การมีอยู่ของซีรีส์ที่นำเสนอเรื่องราวความหลากหลายทางเพศ เป็นเพียงศิลปะอีกแขนงหนึ่ง ที่เพิ่มความหลากหลายในอุตสาหกรรมบันเทิง ทำให้วงการเดิมพัฒนามากยิ่งขึ้น คนดูมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น เป็นกำไรของคนดูที่มีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น”

[ คอนเทนต์ไทย จับใจ ‘คนดูต่างชาติ’ ได้อย่างไร? ]
นุชี่ เปรียบเทียบให้เข้าใจว่า ‘ละคร หนัง ซีรีส์’ ต่างเปรียบเสมือนผลผลิตของสังคม เพราะคนที่อยู่ในสังคมที่อยากจะเล่า เรื่องวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมนั้นๆ เรียกได้ว่าสังคมเป็นยังไง ละคร หนัง ซีรีส์ก็เป็นอย่างนั้น
“จุดเด่นของคอนเทนต์ไทย คือ เราไม่เป็นประเทศที่น่าเบื่อ กรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นเมืองที่น่าเบื่อ ต่างจังหวัดภาคกลาง ใต้ อีสาน ไม่น่าเบื่อ มีแต่เรื่อง มีดราม่า ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบ วัฒนธรรมอันสวยงาม sub-culture ต่างๆ หรือเรื่องของความเหลื่อมล้ำต่ำสูง อาชญากรรม คอร์รัปชั่น ความหลากหลายทางเพศ รวม แล้วเราไม่สามารถพูดได้เลยว่าเมืองไทยน่าเบื่อ นักท่องเที่ยวมาไทยก็ไม่ได้มองว่าเมืองไทยน่าเบื่อ”
ดังนั้น การผสมผสานทุกมิติ ทั้งที่ลงตัวและขัดแย้งกัน เช่นนี้เอง ที่น่าสนใจในมุมมองของคนต่างชาติ
[ ‘อัตลักษณ์ของชาติ’ ถูกใช้มากน้อยแค่ไหนในการผลิต? ]
“ในฐานะของคนทำหนัง จริงๆ ไม่ค่อยชอบที่มีไอเดียอย่างนี้เท่าไร เพราะเหมือนกับเป็นการ stereotype (คิดแบบเหมารวม) ประเทศไทย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
นุชี่ เล่าว่า ภาพที่ต่างชาติมองเข้ามา แล้วเห็นประเทศไทยเป็นแบบใด คอนเทนต์ที่ถ่ายทอดสิ่งนั้น ก็มีแนวโน้มเขาจะซื้อมากกว่า
“อาหารไทย เราก็มีเรื่อง Hunger ที่เอาอาหารมานำเสนอในแนว Thriller (ระทึกขวัญ) จนทำให้ขึ้นอันดับ 1 ของ Netflix โลกได้ หรือ องค์บาก ที่นำเสนอเรื่องราวของมวยไทย ตอนนี้มีเรื่อง ปากกัดตีนถีบ ที่เอามวยไทยมาผสมซอมบี้ เมื่อเป็นเรื่องราวแบบนี้ก็เป็นเหมือน ‘หน้าหนัง’ ที่ดึงดูดความสนใจของคนได้”
เช่นเดียวกับ ซีรีส์ BL, GL ที่ทำรายได้ให้กับบ้านเรา เพราะเมืองไทยเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึง ‘หนังผี’ ที่เมืองไทยขึ้นชื่อเรื่องผีที่เจอได้ทุกที่แห่ง มีความเชื่อมากมาย “เมื่อเป็นหนังผีจากประเทศไทย คนก็จะสนใจเพราะเชื่อว่ามันต้องน่ากลัว”
ส่วนใครที่อยากทำคอนเทนต์ไทย ที่ไม่อยากไปตาม “ภาพจำ” ของไทยชัดๆ แบบนั้น ก็ยังสามารถนำเสนอมุมมอง และเรื่องราวในแบบของตัวเองได้
โดย นุชี่ ให้ความเห็นว่า “ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตมากกว่า เพราะเราไม่สามารถทำหนังมวยไทยต่อกันเป็นสิบเรื่องได้ หากทำไปเรื่อยๆ ก็ดูจะน่าเบื่อ ฉะนั้น การหาความแตกต่าง ก็นับว่าเป็นพื้นที่ทดลองให้กับคนทำงาน
การนำเสนอสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็น หรือ ภาพที่เราอยากจะเป็น เราควรจะขายคอนเทนต์แบบใด? เป็นคำถามพลาดไม่ได้
“เราควรจะทำควบคู่กันไป” เป็นความเห็นของนุชี่ ที่มองว่า มีส่วนหนึ่งที่ตอกย้ำภาพลักษณ์เดิมๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่นำเสนอในเรื่องราวอื่นๆ ก็ยังสามารถทำต่อไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อไทยสามารถชี้นำสังคมได้จริงๆ ย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ อย่างกรณีซีรีส์ BL, GL ที่แม้แต่ในกลุ่มผู้ชมไทยก็ยังต้องได้รับการพิสูจน์
ก่อนที่ คนไทยจะค่อยๆ ยอมรับ ภายหลังมีการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ผู้คนเริ่มมองความสัมพันธ์ของบุคคลหลากหลายทางเพศ ในแง่ที่สวยงาม และให้การยอมรับมากยิ่งขึ้น จนนำมาสู่ การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี นุชี่ ย้ำว่า ทั้งหมดยังต้องอยู่บนพื้นฐานความจริง ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ “ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง หลานม่า เป็นหนังที่คนทั่วโลกชอบ เพราะนำเสนอประเด็นที่มีความสากล สังคมทั่วโลกเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนรุ่นใหม่ก็จะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กับตัวละครหลักในเรื่อง ยิ่งคนจีนก็จะยิ่งอิน เพราะมันเข้ากับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของบ้านเขา”
คล้ายกับกรณีของ เรื่อง สืบสันดาน ที่นำเสนอเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคม ที่ถ่ายทอดบริบทสังคมไทยชัดเจน แต่ไม่ได้ถูกหยิบมาเล่ามากนัก จนได้รับกระแสตอบรับอย่างดีในฝั่งอเมริกาใต้ ที่คนดูรู้สึกเชื่อมโยงกับคอนเทนต์เหล่านี้ จนเป็นการขยายฐานผู้ชมวงกว้าง
[ ทำละครเน้นขายคนไทย หรือคนต่างชาติ? ]
ในฐานะคนทำหนัง นุชี่ เล่าว่า ต้องคำนึงถึง ‘ประเด็นและเรื่องราว’ ที่ต้องการนำเสนอมาเป็นลำดับแรก
“แล้วค่อยมาดูว่า เราจะคิดต่อแบบ local หรือ global ใช้ทุนเท่าไร เพราะคนดูสัมพันธ์กับทุน หนังสเกลใหญ่ๆ ลงทุนสูง คนดูก็ต้องจำนวนมาก เพื่อคาดหวังถึงกำไร ดังนั้นก็ต้องดูว่าในเรื่องที่เราจะทำ จำนวนคนดูในประเทศมันเพียงพอไหม”
“อย่างเรื่องล่าสุด คายอ้อ เรื่องนี้ไม่ได้ทำเพื่อคนดูต่างประเทศเลย คนดูส่วนใหญ่ คือคนอีสาน และแฟนหมอลำ กลุ่มคนดูค่อนข้างจำกัด ไม่ได้ขายต่างชาติมากนัก แต่ก็สามารถทำเป็นหนังออกมาได้ ฉายแล้วมีคนดู”
ที่เป็นเช่นนี้ได้ นุชี่ กล่าวว่า คนทำหนังต้องดูว่ากลุ่มคนที่เราให้ความสนใจ มีจำนวนมากพอกับทุนที่ใช้สร้างหรือไม่ เช่น หนังอีสานหลายๆ เรื่อง อย่าง ไทบ้าน ไอเดียแรกไม่ได้ตั้งใจจะขยายผู้ชมทั่วประเทศด้วยซ้ำ แต่เมื่อเชื่อมโยงกับชีวิตพวกเขา หนังก็สามารถประสบความสำเร็จ มีรายได้เป็นพันล้านได้
“ถ้าจะคิด global ก็อย่างเรื่อง สงครามส่งด่วน ในไทยจริงๆ แล้วอาจไม่ค่อยคุ้นชินกับเรื่องราวการเชือดเฉือนทางธุรกิจเท่าไร มันเคยเป็นประเด็นที่อาจจะขายไม่ได้มาก่อน ถ้าเป็นแต่ก่อนอาจจะขายนายทุนไม่ได้ เพราะเขาอาจไม่แน่ใจว่าจะขายได้ไหม ต่อให้ทำดีโปรดักชั่นเกาหลีเลยก็ไม่แน่ใจอยู่ดี”
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้สร้างคิด global ว่าอยากให้คนได้ดูกันทั่วโลก มีจำนวนมากเพียงพอกับทุนสร้างที่มี เลยทำเป็นประเด็น underdog (ไก่รองบ่อน) ที่สู้กับนายทุน ที่สากลคนทั่วโลกเข้าใจได้ จนนำมาสู่ผลลัพธ์อย่างที่เห็น
[ นักแสดงไทยไประดับโลก ‘ได้แสงคนเดียว’ หรือ ‘โตไปทั้งอุตสาหกรรม’ ]
จากความสำเร็จของคอนเทนต์ไทย ที่ช่วยผลักดันให้นักแสดงไทย ประสบความสำเร็จระดับโลกมากยิ่งขึ้น จนจำนวนหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่า นักแสดงจะได้รับผลประโยชน์ไปคนเดียวเต็มๆ ไม่ได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมบันเทิงไทยมากนักนั้น
ในประเด็นนี้ นุชี่ ให้ความเห็นว่า จริงๆ แล้ว นักแสดงไทย มีส่วนสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมไทยเลยต่างหาก
“หนังไทยมีคนดูมากน้อยแค่ไหน นายทุนอยากลงทุนมากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับนักแสดงด้วย เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับความจริง แล้วทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ การที่ดาราไทยมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เท่ากับเป็นการเปิดตลาด มีโอกาสที่ทำให้เราเอาหนัง หรือผลงานแสดงไปขายในตลาดต่างประเทศได้”

[ ทำอย่างไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน? ]
การรักษาคุณภาพของคอนเทนต์ไทย ให้อยู่ในระดับ ‘ดี’ ในสายตาชาวไทย และชาวโลกไปได้เรื่อยๆ เป็นอีกโจทย์หนึ่งที่ท้าทาย สำหรับคนในอุตสาหกรรมบันเทิง
ครั้นจะมองว่า ผู้ผลิตคนไหนที่ทำผลงานระดับแย่ ทำให้ทั้งวงการไทยดูแย่ตามไปด้วย ก็อาจไม่ใช้ความคิดที่ถูกต้องนัก นุชี่ ให้ความเห็นว่า ผู้ผลิตยังคงมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอผลงานของตัวเอง “ถ้าในตลาดไหนมันกำลังป็อป มันขายได้ แล้วจะมีผู้เล่นเข้ามาลองทำ ทำแล้วดีบ้าง ห่วยบ้าง ก็ช่างมัน เราที่เป็นผู้บริโภคสามารถเลือกเสพได้”
นุชี่ เล่าว่า ในวงการบันเทิงของแต่ละประเทศ ต่างมีปัญหาคล้าย ๆ กัน ทั้งผลงานที่ถูกใจผู้ชม และผลงานที่ถูกสับแหลก แต่การเปิดโอกาสและพื้นที่เสรี ให้ผู้ผลิตได้ทำคอนเทนต์ออกมา ยังคงเป็นสิทธิเสรีของผู้ผลิต ในขณะเดียวกัน ผู้ชมก็สามารถเลือกเสพ และมีหน้าที่ให้ฟีดแบ็กกับผู้ผลิต เพื่อการพัฒนาให้ดีขึ้นในโอกาสต่อๆ ไป
[ ปัญหาพล็อตซ้ำซาก แต่ขายได้ ทำความคิดสร้างสรรค์สะดุด ]
สำหรับ ปัญหาที่ทั้งผู้ผลิต และนายทุนต้องเจอ คือการที่สร้างสรรค์ผลงานออกมาแล้ว ‘ต้องขายได้’ จึงทำให้ตกหล่มกับความสำเร็จในรูปแบบเดิม พล็อตเรื่องเดิม ที่มั่นใจว่าทำแล้วคนจะดู จึงทำให้ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าที่จะฉีกแนวในการเขียนบททำได้น้อยลงนั้น
นุชี่ มองว่า เป็นปัญหาใหญ่ในวงการบันเทิงไทย ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ทั้งตัวผู้ผลิต และนายทุน เพราะหากยังยึดติดกับความคิดนี้ต่อไป อาจส่งผลกระทบในระยะยาว “มันแปลว่าผู้ลงทุนก็เพลย์เซฟเกินไป หากทำไปเรื่อยๆ คนดูก็จะเริ่มเบื่อ ผู้ลงทุนต้องกล้าที่จะลงทุนในโปรเจกต์ที่ฉีกออกไป หาอะไรใหม่ ๆ เข้ามาในวงการให้มากกว่าเดิม”
อีกประเด็นหนึ่งที่ นุชี่ ยกขึ้นมาคือ ‘วัฒนธรรมในการวิจารณ์’
“ในเมืองไทย ช่วงหลัง ๆ มานี้การวิจารณ์เริ่มดรอปลง สมัยก่อนนักวิจารณ์จะทำหน้าที่อย่างเข้มข้น ในการชี้ว่าละครเรื่องนี้ดีอย่างไร เมื่อมีละครที่แปลกและแตกต่างออกมา นักวิจารณ์จะทำหน้าที่คอยเขียนออกมา สนับสนุนให้คนไปดู มันถึงจะออกมาเป็นระบบนิเวศน์ ที่ทำให้ทุกอย่างมันอยู่ได้”
“ไม่ใช่ว่านายทุนก็ลงทุนแล้ว ผู้ผลิตก็กล้าที่จะทำอะไรฉีก ๆ ออกมาแล้ว คนไม่ดู มันก็เจ๊ง ต่อไปเขาก็ไม่ทำ มันก็จะเป็นวงจรอุบาทว์ แต่ถ้าเรามีวัฒนธรรมในการวิจารณ์ที่เข้มแข็ง มันก็จะช่วยให้คนดูเปิดใจที่จะไปดู ถ้าเพิ่มสิ่งนี้ได้ ก็จะทำให้ระบบนิเวศน์มันแข็งแรง ก็จะทำให้ผู้ผลิตกล้าที่จะนำเสนอผลงานแนวแปลก ๆ ออกมาได้ง่ายขึ้น”
[งบสนับสนุน Soft power ใช้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ]
หากเปรียบงบประมาณของไทย ในการสนับสนุนงานด้านละคร หนัง และ ซีรีส์ของไทย อาจเปรียบได้ว่าเรามีกระสุน แต่มีอยู่อย่างจำกัดกว่าอีกหลายๆ ประเทศ เราจะยิงอย่างไรให้แม่น นุชี่ เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ
ในฐานะคนทำงาน นุชี่ มองว่า คนที่จะเป็นคนตัดสินว่าควรใช้งบประมาณในจุดไหน เพื่อแก้ไขปัญหาอะไร ควรจะเป็นคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ยากที่จะให้นักการเมือง หรือข้าราชการมาเข้าใจอุตสาหกรรมนี้ 100% ด้วยธรรมชาติของวงการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
สำหรับในประเทศไทย ถือว่ากำลังยิงได้เข้าเป้า ตามความเห็นของ นุชี่ เพราะคนในอุตสาหกรรมเองเป็นคนใช้งบประมาณ และผู้ผลิตแต่ละราย ก็มีความพยายามอย่างมาก ที่จะผลิตผลงานที่ดีออกมาแข่งกับตลาดโลก
“อย่างเรื่องล่าสุด ผีใช้ได้ค่ะ โปรดิวซ์กันมาสิบปี พยายามรวบรวมทุนมาสร้าง มีความกล้าหาญในการนำเสนอสิ่งใหม่ แล้วได้ฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เมืองคานส์ รัฐบาลก็ให้การสนับสนุนในการช่วยโปรโมต สนับสนุนในการเปิดตลาดสู่ต่างประเทศ”
ดังนั้น ภาครัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาดูโดยตรง เพียงแค่ทำหน้าที่สนับสนุน ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก ขจัดและปรับปรุงกฎหมายที่ขัดการเติบโต อย่าง กฎหมายเซ็นเซอร์ รวมถึงสนับสนุน micro cinema โรงหนังอิสระ ที่ช่วยสนับสนุนนักสร้างหนังรุ่นใหม่ มีพื้นที่ในการทดลองงาน ตลอดจนถึงมาตรการทางภาษีใดๆ ที่ช่วยสนับสนุน หรือเปิดโอกาสให้นักลงทุนเอกชน เข้ามาสนับสนุนผู้ผลิตได้สะดวกมากขึ้น
[ ฝากถึงคนรุ่นใหม่ ที่กำลังสนใจทำงานเบื้องหลัง ]
ในช่วงที่ T-Entertainment กำลังค่อย ๆ ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มติดตาม T-POP และนักแสดงไทยรุ่นใหม่นั้น
นุชี่ กล่าวว่า บอกว่า วงการบันเทิงไทย ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากย้ำ คือ วงการบันเทิงมีการแข่งขันสูง ทั้งจากในประเทศกันเอง และแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ทั้งมีช่วงขาขึ้น และขาลง ดังนั้น ถ้ามีใจรัก และมีแพชชั่น ที่อยากเข้ามาร่วมสร้างสรรค์ผลงานดีๆ เข้ามาได้เลย
และจะ ยินดีอย่างยิ่ง หากช่วยกันพัฒนาวงการบันเทิงไทยให้ดีขึ้น ให้คนทำงานแต่ละฝ่าย ทำงานอย่างยั่งยืนและมีเกียรติ มีรายได้ และชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม
นุชี่ ทิ้งท้ายว่า หากวงการบันเทิงไทยพัฒนาไปจนถึงจุดนั้นได้ ก็จะดึงดูดคนเก่งๆ ให้เข้ามาทำงานด้วยได้ ผลงานเราก็จะดีขึ้น










