สนธิสัญญาด้านอวกาศฉบับใหม่ที่นำเสนอโดยสหรัฐฯ ได้รับการลงนามแล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือและการสำรวจอวกาศอย่างสันติในอนาคต
หลังจากที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ นาซา (National Aeronautics and Space Administration – NASA) ร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างกันในแผนการสำรวจดวงจันทร์ในศตวรรษที่ 21 ขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และได้ตั้งชื่อว่าสนธิสัญญาอาร์เทมิส (Artemis Accords) ล่าสุดนาซาได้ร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในการรวบรวมประเทศสมาชิกได้แล้วทั้งสิ้น 7 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย, แคนาดา, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ลักเซมเบิร์ก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ สหราชอาณาจักร
เมื่อรวมกับสหรัฐอเมริกาด้วยแล้ว เท่ากับว่ามี 8 ประเทศ ณ ตอนนี้ที่ประกาศว่าจะร่วมมือกันในสนธิสัญญาใหม่ ซึ่งมีข้อกำหนดหลักๆ เช่น ดำเนินกิจกรรมทุกประเภทโดยมีเป้าหมายอย่างสันติและโปร่งใสเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แบ่งปันข้อมูลเพื่อความปลอดภัยและช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในสภาวะตกที่นั่งลำบาก เปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ต่อสาธารณชนเพื่อประโยชน์ของทั้งโลก ทำนุบำรุงมรดกทางอวกาศ เป็นต้น
นอกนั้นเป็นการย้ำเตือนถึงข้อกำหนดที่มีอยู่แล้วในสนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินกิจการของรัฐในการสำรวจและการใช้อวกาศภายนอก รวมทั้งดวงจันทร์และเทหะในท้องฟ้าอื่นๆ ค.ศ. 1967 หรือเรียกสั้นๆ ว่า Outer Space Treaty 1967 ซึ่งเป็นหนึ่งในสนธิสัญญาพหุภาคี (Multilateral Treaty) ภายใต้กรอบสหประชาชาติ และเป็นฉบับแรกที่ว่าด้วยเรื่องความร่วมมือในอวกาศ
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่ารัสเซียที่เป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในเรื่องอวกาศกลับไม่ปรากฎชื่อในลิสต์ดังกล่าว เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางนาย ดิมิทรี โรโกซิน หัวหน้าโครงการอวกาศของรัสเซียได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการที่สหรัฐฯ เป็นฝ่ายร่างสนธิสัญญาขึ้นเพียงฝ่ายเดียว รัสเซียยังพร้อมที่จะเปิดกว้างหากว่าแผนงานดังกล่าวมาจากความร่วมมือของนานาชาติอย่างแท้จริง
ส่วนจีนซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจทางอวกาศ ยังไม่สามารถเข้าร่วมเซ็นสัญญาได้ เนื่องจากกฎหมายของสหรัฐฯ ห้ามไม่ให้นาซาร่วมมือกับจีนโดยตรง ทางนาซาจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังพร้อมที่จะติดต่อไปหากสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้
ภาพ / NASA










