รู้ทันเกมการเงิน โลกเปลี่ยนไปไว ปรับพอร์ตต้องไวกว่า

รู้ทันเกมการเงิน โลกเปลี่ยนไปไว ปรับพอร์ตต้องไวกว่า

การเงิน

เมื่อพูดถึงการลงทุนในทุกวันนี้ หลายคนอาจยังติดภาพเดิมๆ ว่าต้องซื้อหุ้น ซื้อทอง หรือซื้อคอนโดปล่อยเช่า แต่ในความเป็นจริง ‘โลกการลงทุน’ เปลี่ยนไปมากกว่านั้น โดยเฉพาะหล้งจากที่สินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มเข้ามาบทบาทในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก

[ จากหุ้น ทอง สู่โลกใหม่ที่มี บิตคอยน์ ]

‘กรภัทร วรเชษฐ์’ จาก บล.กรุงศรี บอกว่า สินทรัพย์ดั้งเดิมที่เราเคยคุ้นเคยอย่างหุ้นพื้นฐาน ตราสารหนี้ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์นั้นยังคงมีบทบาทอยู่

แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือสิ่งที่นักลงทุนมองหา ไม่ใช่แค่ความมั่นคงแต่ต้องจับต้องได้ มีปันผล มีเงินสดไหลเข้า และสามารถประเมินมูลค่าได้จริง

ในขณะที่สินทรัพย์ยุคใหม่อย่างสินทรัพย์ดิจิทัลหรือโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี กลับกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมความท้าทายในการประเมินมูลค่าและความผันผวนสูง

นักลงทุนยุคนี้จึงต้องอ่านเกมให้ขาด ดูสภาพเศรษฐกิจโลก และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเข้า และเมื่อไหร่ควรออก เมื่อเศรษฐกิจโลกสะดุด ตลาดทุนจึงต้องปรับตัว

[ วงจรดอกเบี้ยขาลง = โอกาสทองของตราสารหนี้ ]

จากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น เงินเฟ้อพุ่ง และเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่และฝั่งเอเชีย ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ก็มีข้อดีคือสามารถลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน

ในบริบทนี้ ตราสารหนี้ (Fixed Income) กลับกลายเป็น ‘พระเอกของพอร์ต’ เพราะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะดอกเบี้ยต่ำ โดยเฉพาะตราสารหนี้ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ที่นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย

ส่วน ‘หุ้น’ แม้ยังไม่ถึงจังหวะที่ใช่ แต่นักลงทุนก็ไม่ควรมองข้าม เพียงแต่ต้องรอปัจจัยบวก  เช่น เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้น นโยบายการเงินและการคลังที่เริ่มใจดีมากขึ้น

[ กระจายพอร์ต อย่ายึดติดแค่ตัวใดตัวหนึ่ง ] 

‘สรพล วีระเมธีกุล’ จาก บล.กสิกรไทย ได้บอกว่าไว้ว่า ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ตายจริง อย่างญี่ปุ่นเคยถูกมองว่าเศรษฐกิจตายไปแล้ว แต่หลังโควิดกลับมาทำนิวไฮ จีนก็เช่นกัน

เพราะฉะนั้น อย่าปักใจเชื่อว่าตัวไหนดีหรือตัวไหนแย่ตลอดไป ทางออกคือ กระจายความเสี่ยง ทั้งในสินทรัพย์เก่าและใหม่ ไม่ว่าจะหุ้น ตราสารหนี้ หรือแม้แต่บิตคอยน์

โดยเฉพาะหุ้นไทย ที่ยังแนะนำให้มีไว้ในพอร์ตแบบตามสถานการณ์ช่วงดัชนีต่ำๆ ราว 1,080–1,100 จุด อาจเพิ่มสัดส่วนหุ้นไทยขึ้นมาราว 10%

แต่ถ้าราคาขึ้นแรงจนถึงระดับ 1,245–1,300 จุด ควรลดสัดส่วนลงให้เหลือ 0% เพราะตอนนี้ SET Index ไม่เหมาะจะอยู่ในพอร์ตหลักที่หวังผลระยะยาว แต่อยู่ในพอร์ตเสริมที่เน้นจังหวะทำกำไรระยะสั้น–กลางจะเหมาะกว่า

[ เทคนิคดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีวินัยด้วย ]

ส่วน ‘โฉลก สัมพันธารักษ์’ จาก Chaloke.com เน้นว่า ถึงแม้เทคนิควิเคราะห์กราฟจะเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีการจัดการเงิน (Money Management) ก็อาจพังได้ ต้องแยกพอร์ตให้ชัดเจน เช่น บัญชีระยะยาว กลางและสั้น เพื่อควบคุมจุดเข้าและจุดออกให้เหมาะสม

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือการควบคุมอารมณ์ เพราะ Fear & Greed Index หรือ ดัชนีวัดความกลัว–ความโลภ เป็นตัวสะท้อนพฤติกรรมนักลงทุนได้ คนที่ลงทุนได้ดีต้องรู้จักควบคุมใจตัวเอง และใช้เครื่องมืออย่าง Trade Signal มาช่วยตัดสินใจอย่างมีระบบ

[ บิตคอยน์ไม่ใช่แค่เหรียญ แต่คือเงินในโลกดิจิทัล ]

สุดท้าย ‘พิริชะ สัมพันธารักษ์’ จาก Right Shift พูดเสริมว่า การเข้าใจบิตคอยน์ไม่ใช่แค่รู้ว่ามันคือคริปโต แต่ต้องรู้ด้วยว่า ‘มันคือเงิน’ เงินที่ไม่ได้มีรูปร่าง แต่มีมูลค่า เพราะคนยอมรับ

สำหรับ บิตคอยน์ มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์โลกยุคออนไลน์ ทั้งการเก็บรักษามูลค่า และการเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลาง

ซึ่งต่างจากทองคำหรือเงิน เพราะบิตคอยน์อาจไม่สะดวกใช้ในชีวิตจริง เเละย้ำว่าหากยังไม่เข้าใจบิตคอยน์อย่างน้อยควรเก็บทองคำไว้บ้าง และที่สำคัญต้องตั้งคำถามกับเงินอยู่เสมอ

ในโลกการเงินทุกวันนี้ไม่มีสูตรตายตัว เพราะเศรษฐกิจเปลี่ยนเร็ว ความเสี่ยงมากขึ้น แต่โอกาสก็เปิดกว้างขึ้นด้วยเช่นกัน

ใครที่ยืดหยุ่น ปรับพอร์ตทัน รู้จักกระจายความเสี่ยงอย่างมีวินัย ย่อมมีโอกาสรอดและเติบโตในระยะยาว เพราะไม่มีสินทรัพย์ไหนที่ดีตลอดไปมีแต่นักลงทุนที่ต้องปรับตัว

เนื้อหาจากงานสัมมนา Thailand Investment Forum 2025 : Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤต จัดขึ้นโดยเครือเนชั่น

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง