แอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนอีกหนึ่งตัวที่จะถูกนำมาฉีดให้กับคนไทย 65 ล้านโดส และยังได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ด้วย โดยวัคซีนแอสตราเซเนกา มีชื่อทางการว่า AZD1222 พัฒนาโดย บริษัท AstraZeneca สัญชาติอังกฤษ สวีเดน ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็น วัคซีนชนิดไวรัลแว็กเตอร์ หรือ วัคซีนชนิดไวรัสเป็นพาหะ (Viral vector vaccine)

วัคซีนแอสตราเซเนกา ถูกนำไปใช้ฉีดใน 70 กว่าประเทศทั่วโลก แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงส่งผลให้หลายชาติยุโรปเคยระงับการฉีดชั่วคราว แต่ล่าสุดกลับมาฉีดใหม่อีกครั้ง และยังมีบางประเทศที่ระงับใช้งาน อย่าง แอฟริกาใต้ และ เดนมาร์ก
ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกัน
- ป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ 81%
- ป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการในสหรัฐฯ 76%
- ป้องกันความรุนแรงของโรค 100%
- ป้องกันการเสียชีวิต 100%
ในไทยมีการวิจัยโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ศึกษาผู้ที่ได้รับวัคซีนหลังฉีดเข็มแรก 4 สัปดาห์ จำนวน 73 ราย มี 71 ราย หรือ 97.26% เกิดแอนติบอดี
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังฉีด
• ปวด บวม คัน แดง บริเวณที่ฉีด
• ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ ปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ หนาวสั่น ปวดบริเวณข้อ คลื่นไส้ อาเจียน(อาการหลังฉีดโดสแรกจะมากกว่าโดสที่ 2)
• ภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือด พบ 2-4 ต่อ1,000,000 การฉีด โดยมีรายงานว่าส่วนใหญ่เกิดกับผู้หญิงอายุ 18-59 ปีมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน 2 ต่อ 1
ข้อแนะนำก่อนฉีด AstraZeneca
ก่อนฉีดตรวจสอบประวัติการแพ้วัคซีนชนิดอื่น หรือหากมีไข้สูงเกิน 38 องศา ควรเลื่อนการฉีดไปก่อน หากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันหรือรับประทานยาที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันให้แจ้งเจ้าหน้าที่ หลังฉีดให้สังเกตอาการที่โรงพยาบาลที่ฉีดอย่างน้อย 30 นาที พร้อมกับสังเกตอาการต่อที่บ้าน หากมีอาการแพ้รุนแรง ให้ไปพบแพทย์ หรือโทร.1669 เพื่อรับบริการฉุกเฉิน ทั้งนี้ควรรับวัคซีนตามกำหนด และเก็บบันทึกการรับวัคซีนไว้เพื่อเป็นหลักฐาน










