สหภาพยุโรปอนุมัติวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา ท่ามกลางความกังวลว่า สหภาพยุโรปจะบังคับใช้มาตรการปิดพรมแดนสกัดการส่งออกวัคซีนเพื่อให้เพียงพอกับสหภาพยุโรปก่อน จนหลายชาติที่สั่งจองวัคซีนไว้ไม่ได้ใช้ตามกำหนด
วันที่ 30 มกราคม 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า หน่วยงานด้านการแพทย์ของสหภาพยุโรปอนุมัติการใช้งานวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกา ที่ร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแล้ว โดยเป็นวัคซีนบริษัทที่ 3 ที่ได้รับอนุมัติจากสหภาพยุโรป ถัดจากวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และบริษัทโมเดอร์นา (Moderna)
การอนุมัติวัคซีนของแอสตราเซเนกาของหน่วยงานในสหภาพยุโรป เกิดขึ้นหลังจากที่เยอรมนีเพิ่งอนุมัติวัคซีนชนิดนี้เช่นกัน แต่กำหนดให้ใช้ได้เฉพาะอายุ 18-64 ปี โดยให้เหตุผลว่า ข้อมูลการวิจัยยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกาปลอดภัยเมื่อฉีดให้กับผู้สูงอายุ
สหภาพยุโรปสั่งจองวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกาจำนวน 400 ล้านโดส ซึ่งหลายฝ่ายกำลังจับตาว่า บริษัทแอสตราเซเนกาจะผลิตวัคซีนโควิด-19 ให้กับสหภาพยุโรปเพียงพอตามความต้องการหรือไม่ หลังประสบปัญหาด้านการผลิต
ขณะเดียวกันหลายฝ่ายยังตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายของสหภาพยุโรปที่จะปิดพรมแดนไม่ให้ส่งออกวัคซีนที่ผลิตได้ เพื่อสงวนสำหรับใช้ในสหภาพยุโรปเท่านั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับชาติอื่นๆ ที่สั่งจองวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา รวมทั้งประเทศไทยที่อาจได้วัคซีนช้ากว่ากำหนด
ก่อนหน้านี้องค์การอนามัยโลกออกมาเตือนถึงแนวโน้มการเกิดภาวะชาตินิยมวัคซีน ซึ่งชาติผู้ผลิตวัคซีนไม่ยอมส่งออกวัคซีนโควิด-19 ให้กับประเทศอื่น รวมถึงการกักตุนวัคซีนมากเกินความจำเป็น โดยนายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกระบุว่า ภาวะดังกล่าวเป็นอันตรายที่แท้จริงที่จะขัดขวางการยุติภาวะโรคระบาด
