หลังจบการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี ด้วยสาเหตุที่ว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้ยังอ่อนแออยู่หลายจุด และความไม่แน่นอนที่ต้องเผชิญยังอีกยาว
[ สินเชื่อปล่อยยาก กลุ่มธุรกิจยังไม่ใช้เงิน ]
เริ่มจากการปล่อยสินเชื่อ (การให้กู้ยืมเงิน) ของธนาคารและสถาบันการเงินชะลอตัวลง เพราะความต้องการลงทุนในบางธุรกิจลดลง หลายธุรกิจไม่ต้องการขยายกิจการมากนักในช่วงนี้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่ม ขณะที่การชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมในช่วงโควิด-19 ธุรกิจที่เคยกู้เงินไปในช่วงวิกฤตโควิด-19 เริ่มทยอยชำระคืน ทำให้ยอดสินเชื่อใหม่ลดลง
ขณะที่ด้านความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังสูง สำหรับธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการ แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย แต่ยังมีการชำระคืนหนี้ที่ค้างอยู่ ทำให้สินเชื่อในกลุ่มนี้เติบโตช้าลง ธุรกิจ SMEs (ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ต้องเผชิญความเสี่ยงทางการเงิน ทำให้ธนาคารระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ
และแม้ว่าภาครัฐมีมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มคนหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยมุ่งเน้นช่วยเหลืออย่างตรงจุด แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์สินเชื่อต่อ
[ ภาคท่องเที่ยวยังไปต่อ อุตสาหกรรมยังคลานช้า ]
ทางด้านภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น แต่ SMEs และภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มยังถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง กลุ่มยานยนต์มีพัฒนาการแย่ลงจากทั้งปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ ส่งผลให้การฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนยังไม่ทั่วถึง มองไปข้างหน้า แนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักมีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องติดตามพัฒนาการของปัจจัยดังกล่าวซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าและการลงทุนของไทยในระยะต่อไป
ซึ่ง กนง. มองว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ










