แม้โลกจะผ่านยุคโควิด-19 มาแล้ว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งกับชีวิต ทรัพย์สิน อาชีพ และธุรกิจในวงกว้าง คือสิ่งที่โลกจะลืมไม่ลงไปตลอด ในแง่ชีวิตประจำวัน เราได้เปลี่ยนมาสู่วิถีไฮบริดมากขึ้น ส่วนในแง่ธุรกิจ ก็ต้องปรับตัวกันไป เพราะไม่มียืนยันได้เลยว่า ภัยโรคระบาดแบบโควิด-19 จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก
การท่องเที่ยว ธุรกิจสายการบิน สนามบิน กระทบจังๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยังมีอีกธุรกิจที่ดูเหมือนว่า คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักในฉากหน้า แต่มีบทบาทสำคัญให้ธุรกิจการบินเดินหน้าต่อได้นั่นก็คือ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิง การบิน
TODAY Bizview มีโอกาสได้พูดคุย ทำความรู้จักกับ BAFS หรือบาฟส์ บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น เด็กปั๊มแห่งวงการสายการบิน พูดถึงการปรับตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก โควิด-19 นำโดย หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ นายจักรสนิท กฤษสอาดใจ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงินกลุ่มบริษัท
[ รู้จักธุรกิจ BAFS ]
BAFS มีสามธุรกิจใหญ่คือ
- บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยาน
- ธุรกิจด้านการเก็บรักษา และขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านระบบท่อขนส่งน้ำมันใต้ดิน
- ธุรกิจลงทุนหรือร่วมทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน และสิ่งแวดล้อม และ รับเหมาเฉพาะแรงงาน จัดหาคนเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่อากาศยานต่างๆ เช่น ท่าอากาศยานสมุย ท่าอากาศยานสุโขทัย และท่าอากาศยานตราด

ซึ่งในสามธุรกิจหลักนี้ มีหลายบริษัทย่อยๆ แตกออกไป และมีรายละเอียดเชิงเทคนิคมาก กล่าวแบบสรุปคือ BAFS ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเชื้อเพลง แต่เป็นผู้นำเชื้อเพลิงมาเข้าระบบจัดเก็บในถังน้ำมันตามสนามบินต่างๆ และขนย้ายน้ำมันผ่านท่อส่ง หรือผ่านรถบรรทุกน้ำมันเพื่อนำไปเติมให้แก่เครื่องบิน ซึ่ง BAFS ต้องทำหน้าที่จัดเก็บน้ำมันเป็นหลักพันล้านลิตร คัดกรอง ขนย้ายและเติมน้ำมัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ BAFS มีฉายาว่า เด็กปั๊มแห่งวงการการบิน
ตัวอย่างลูกค้าของ BAFS คือ การบินไทย, ไทยสไมล์, บางกอกแอร์เวยส์, Emirates, Korean Air, แอร์เอเชีย, Qatar Airways เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าธุรกิจใหญ่ ผูกพันอยู่กับการบินเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อ โควิด-19 มาถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทจึงมีมูลค่ามหาศาล
“จากเดิมบริษัทเติมเชื้อเพลงให้ 900 ไฟลท์ต่อวัน เหลือวันละราวๆ สิบไฟลท์เท่านั้น” หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ กล่าว
[ ออกหุ้นกู้ ปรับตัว แตกไลน์ธุรกิจใหม่ ]
โควิด-19 เป็นบทเรียนราคาแพง ทำให้ต้องปรับตัว แตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ หากใครติดตามข่าววงการหุ้น จะรู้ว่า BAFS ขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนมูลค่า 1,000 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยช่วง 5 ปีอยู่ที่ 6.85% จุดประสงค์หลักๆ คือ การนำเงินไปชำระหนี้ และลงทุนในธุรกิจใหม่ กระจายความเสี่ยง
คุณจักรสนิท ซีเอฟโอของบริษัทกล่าวว่า “การออกหุ้นช่วยปรับโครงสร้างทางการเงิน เพราะเรากระทบจากโควิด โดยหุ้นกู้สามารถนับเป็นทุนทางบัญชีได้ทั้งจำนวนทำให้อัตราส่วนหนี้เสียลดลง ภาพรวมแข็งแรงมากขึ้น เงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งคือ นำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ มองธุรกิจรายได้มั่นคง สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้เราได้”
สำหรับการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจเดิม และเพิ่มธุรกิจใหม่ที่นอกเหนือจากเชื้อเพลง การบิน คือ บริการภาคธุรกิจ เช่น HR outsourcing การจัดสรรหาบุคลากรในพื้นที่ การเอาท์ซอร์สดูแลซ่อมบำรุงอาคารสำนักงาน และบริการดิจิทัลโซลูชั่น พัฒนาแอปให้คนทำงานที่บ้านได้ จุดเด่นคือ ทำให้คนไทยเข้าถึงง่าย ไม่ตั้งราคาแพง
เมื่อถามว่า เรื่องธุรกิจซอฟต์แวร์ อาจสู้เจ้าอื่นที่มีชื่อเสียงในตลาดมาก่อนได้ยากหรือไม่ หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ บอกว่า “จริงๆ แล้วเราเก่งเรื่องงานระบบ ISO ที่ใช้ในธุรกิจต่างๆ แต่ที่ผ่านมา คนข้างนอกไม่รู้ว่าเรามีศักยภาพตรงนี้ เราเลยคิดว่าเราสามารถต่อยอดเป็นโปรดักต์ได้ ที่สำคัญ BAFS ยังเป็นบริษัทแรกที่เอาบล็อกเชนมาใช้กับการเติมน้ำมันเครื่องบิน เชื่อมโยง node ข้อมูลของทุกคน ทำ smart contract ได้ ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่”
อย่างไรก็ตาม เงินก้อนใหญ่ของการลงทุน จะยังลงไปที่ธุรกิจหลักของบริษัทเป็นหลัก เช่น ธุรกิจขนส่งน้ำมันโดยเชื่อมท่อในภาคตะวันออก การขยายต่อจากอ่างทองไปสระบุรีอีก 52 กิโลเมตรการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มองโกเลีย เป็นต้น
ทางบริษัทคาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปี รายได้ของ BAFS จะอยู่ที่ 7,500 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งเป็นรายได้มาจากธุรกิจการบิน อีก 40% มาจากธุรกิจสาธารณูปโภค และพลังงาน (Utilities & Power) และที่เหลือเป็นกลุ่มธุรกิจด้านการบริหารจัดการและบริการธุรกิจ (Business Solutions & Services) ที่แม้ยังเล็กอยู่ แต่ในอนาคตจะโตขึ้น เพราะเป็นธุรกิจเทคโนโลยี
[ ความท้าทายระยะยาว ในวันที่โลกต้องการการฟื้นฟู ]
ปฏิเสธได้ยากว่า เชื้อเพลิงการบิน มีส่วนทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้น ความตื่นตัวในอุตสาหกรรมการบิน นำเชื้อเพลงชีวภาพมาใช้จึงมากขึ้นเรื่อยๆ IATA หรือ สมาคมการบินระหว่างประเทศบอกไว้เลยว่า ในอนาคต จะต้องมีสัดส่วนน้ำมันชีวภาพ 65-70% ของสัดส่วนเชื้อเพลิงทั่วโลก
ส่วนองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ออกมาสนับสนุนให้มีการทดแทนเชื้อเพลิงอากาศยานหรือน้ำมันเจ็ทที่ผลิตจากฟอลซิลด้วยการใช้ SAF (sustainable aviation fuels) ในสัดส่วนที่เหมาะสมภายในปี 2050
หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ บอกว่า “ความท้าทายตอนนี้คือ ซัพพลายการผลิตน้ำมันชีวภาพ อาจยังไม่เพียงพอ รวมถึงความปลอดภัยในการบิน หากนำน้ำมันชีวภาพมาใช้ แต่อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยจะถูกบังคับให้ต้องทำตามองค์การระหว่างประเทศ ถ้าไม่ทำก็ต้องไปเสียภาษีเพิ่มเอา”
และในระยะยาวมั่นใจว่า BAFS สามารถดำเนินการตรวจสอบ ควบคุมความปลอดภัยของน้ำมันชีวภาพ ได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ










