ในช่วงนี้ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากอย่างผิดสังเกต หลายคนเริ่มสงสัยไปที่ ‘ทองคำ’ ว่าอาจจะเป็นตัวการสำคัญเพราะการส่งออกทองคำนั้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
‘ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย’ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้โพสต์ข้อความซึ่งเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า เป็นไปได้ไหมที่การส่งออก ‘ทองคำ’ เป็นแค่อาการ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง?
โดยย้ำว่านี่เป็นข้อสังเกต ยังไม่มีข้อมูลยืนยันตรงๆ แต่ชวนให้คิดกัน เผื่อว่าจะมีคนช่วยไปสืบเพิ่มเติมอีกที
แต่ในช่วงที่ผ่านมา คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่า ‘เงินบาทแข็ง’ เพราะการส่งออกทอง โดยเฉพาะการส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน จนจะตามไปเก็บภาษีทองคำ
ซึ่งถ้าเราดูตัวเลขจริงๆ จะเห็นว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าทองสุทธิ คือเรานำเข้าทองมากกว่าที่เราส่งออกเสียอีก ตัวอย่างเช่น การส่งออกทองไปบางประเทศอาจมีมูลค่าไตรมาสละประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับการนำเข้าทองที่มีมูลค่าสูงกว่าอย่างมากแล้ว แทบจะไม่มีโอกาสทำให้เงินบาทแข็งได้มากขนาดนี้
[ สมมติฐาน ‘ทอง’ เป็นอาการปลายทาง ]
‘ดร.พิพัฒน์’ ได้ลองสมมุติว่าหากมีธุกรรมแบบนี้เกิดขึ้น ลองคิดดูว่าเป็นไปได้ไหมแบบนี้
1. มีเงินไหลเข้ามาไทยจากต่างประเทศ ผ่านช่องทางที่ตรวจสอบยาก เช่น ตลาดคริปโต เข้ามาในบัญชีของ residence
2. เงินนี้ถูกแปลงเป็น เงินบาท → เพิ่ม demand ต่อบาท ทำบาทแข็ง แต่ธุรกรรมนี้อาจจะไม่ได้ถูกบันทึกใน BoP เพราะดูไม่ออกว่าเป็น cross border transaction
3. มีการใช้เงินบาทไปซื้อทองคำ
4. ทองถูกส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน → เราจึงเห็นการส่งออกทองพุ่ง
สิ่งที่เห็นในสถิติ = การส่งออกทอง แต่แรงกดดันบาทแข็งเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นแรกแล้ว
[ ทำไมเรื่องนี้น่าสงสัย? ]
หากมองประเทศเพื่อนบ้านของเรา (และอาจจะเราด้วย) ได้กลายเป็นฮับธุรกิจสีเทา แม้แต่สหรัฐยังรายงานว่าในปีเดียว (2024) มีประชาชนถูกหลอกลวงผ่าน scams มากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (เฉพาะในสหรัฐประเทศเดียว) โดยมิจฉาชีพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่รู้ประเทศอื่นจะโดนอีกเท่าไร
และที่น่าสังเกตคือใน Balance of Payments (BOP) ของไทย มีรายการ Errors & Omissions หรือธุรกรรมที่ไม่สามารถอธิบายได้ที่ขยายตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ นี่อาจเป็นสัญญาณว่ามีเงินเข้า–ออกจำนวนมากที่ง
[ เรายังไม่แน่ใจว่าคืออะไร? ]
ถ้าไม่เข้าใจ เราอาจจะไม่รู้ว่าเราควรทำอะไรกับมันหรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกรรมที่ผ่านตลาดอย่างคริปโตอาจไม่ได้ถูกบันทึกใน BOP เลยด้วยซ้ำ
ปัญหาสำคัญ : กลไกการกำกับที่ไม่เท่าเทียมกัน นั้นคือ
ภาคธนาคารมีกฎ KYC, AML, Travel Rule ชัดเจน → เงินเข้า–ออกต้องรายงาน มี residency code
แต่ในตลาดคริปโต ยังไม่มีเครื่องมือเทียบเท่า หลายครั้งการซื้อขายใน exchange ไทยถูก ‘netting’ ทำให้ไม่รู้ว่าเงินมาจากคนไทยหรือชาวต่างชาติ
นี่คือ ช่องโหว่ ที่ทำให้เงินบาทแข็งจาก inflows ที่ตรวจสอบไม่ได้ และอาจถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน
[ ความเสี่ยงหากแก้ปลายเหตุ ]
ถ้าเราโฟกัสแต่ ‘การส่งออกทอง’ โดยไม่แก้ที่ต้นตอ อาจซ้ำรอยเดิม เช่น
การที่ธุรกิจสุจริต ต้องรับภาระ ถูกตรวจสอบหนัก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับฟอกเงิน แต่ต้นเหตุจริง (crypto/illicit inflows) กลับไม่ถูกแตะ ปัญหายิ่งย้ายไปช่องทางอื่น และผลลัพธ์คือ รักษาอาการ แต่ไม่รักษาแผล
[ สิ่งที่นโยบายควรทำ ]
ทั้งนี้ ‘ดร.พิพัฒน์’ ได้ให้คำแนะนำถึงสิ่งที่นโยบายควรทำ ได้แก่
1. ปิดช่องฟอกเงินที่ต้นทาง — ทำให้ crypto exchanges ในไทยมีกฎ AML/CFT เทียบเท่าธนาคาร
2. เชื่อมข้อมูล Exchange – Banking – Customs – ปปง. – BoT เพื่อเห็นทั้งเส้นทางเงิน
3. ลงทุนใน blockchain analytics เพื่อตามรอย inflows ที่ไม่ถูกจับในสถิติ BOP
4. ปรับสู่มาตรฐานสากล — ให้ระบบกำกับ AML/CFT ของเรามีระดับเดียวกับประเทศชั้นนำ ไม่อย่างนั้น ไทยอาจถูกมองเป็น ช่องโหว่ระดับภูมิภาค สำหรับการฟอกเงิน
5. ทำมาตรฐานการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินในธุรกรรมการส่งออกทองคำและการทำ export due diligence และเน้นเรื่อง source of funds transparency
“คำถามที่สำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่าทำไมส่งออกทองเยอะ? แต่คือทองคือปลายทางของเงินจากไหน? เงินบาทแข็งเพราะทองจริงๆ หรือเพราะกระแสเงินที่เรายังไม่สามารถจับได้? เผื่อจะได้ช่วยกันทำความเข้าใจและตรวจสอบ เผื่อไม่ใช่จะได้รู้ว่าไม่ใช่” ‘ดร.พิพัฒน์’ กล่าวปิดท้าย










